2.ศึกษาทำความเข้าใจเพิ่มเติมจาก สุเทพ อ่วมเจริญ การพัฒนาหลังสูตร :
ทฤษฎีและการปฏิบัติ การพัฒนาหลักสูตร : ทฤษฎีหลักสูตร
ตอบ
ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร
การศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาระบบสังคม
การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน
สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ได้ในชีวิตของผู้เรียนและสามารถนำความรู้ที่ได้รับนั้นไปทำประโยชน์ในด้านต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลักสูตรจัดเป็นหัวใจหลักของการพัฒนาศึกษา
มีการผสมผสานมโนทัศน์ความคิดรวมยอดเกี่ยวกับแนวทางและความเป็นไปได้ของการจัดการศึกษาที่มีระบบ
และได้นำทฤษฎีทางการศึกษามาปรับประยุกต์ใช้ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการจัดการศึกษา
ซึ่งจะสะท้อนคุณค่าของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละสังคมด้วยทฤษฎีหลักสูตร
เนื้อหาสาระในบทนี้กล่าวถึงทฤษฎีหลักสูตร การสร้างทฤษฎีหลักสูตร การพัฒนาหลักสูตร
หลักการพัฒนาหลักสูตร การวางแผนพัฒนาหลักสูตร และกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
Smith
and others (1957) มีความเชื่อว่าทฤษฎีหลักสูตรจะช่วยสร้างและให้เหตุผลที่สนับสนุนทางการศึกษา
เพื่อประกอบการเลือกและจัดหาเนื้อหาที่ต่างกันของผู้เรียน
นักพัฒนาหลักสูตรจึงได้นำทฤษฎีหลักสูตรมาใช้โดยการผสมผสานทฤษฎีต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเข้ามาไว้ด้วยกัน
กำหนดขึ้นเพื่อการนำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
ทฤษฎีหลักสูตรจึงเป็นการพิจารณาความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ที่สามารถนำมาปรับใช้การวางแผนและพัฒนาหลักสูตร
รวมถึงการจัดและแยกประเภทของเหตุการณ์ต่างๆ และโยงความสัมพันธ์กับเหตุการณ์
พิจารณาโครงสร้างและเนื้อหาวิชาที่เหมาะสมนำมาบรรจุไว้ในหลักสูตร
คำนึงถึงความสอดคล้องตามสภาพการณ์ต่างๆ ทั้งในส่วนของผู้เรียนและในส่วนของสังคม (Kelly.1995)
คาสเวลและแคมเบล(Caswell and
Cambell,1935 : 66) ได้ให้คำจำกัดความว่า หลักสูตรเป็นสิ่งที่ประกอบด้วยประสบการณ์ทั้งมวลของเด็ก
ภายใต้การแนะแนวของครู
ไทเลอร์(Tyler,1949:79) ได้สรุปว่าหลักสูตรเป็นสิ่งที่เด็กจะต้องเรียนรู้ทั้งหมดโดยมีโรงเรียนเป็นผู้วางแผนและกำกับเพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายของการศึกษา
ทาบา
(Taba,
1962:11)ให้คำสรุปเกี่ยวกับหลักสูตรอย่างสั้นๆ
ว่าหลักสูตรเป็นแผนการเกี่ยวกับ
การเรียนรู้
กู๊ด
(Good,
1973 : 157) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ 3 ประการ ดังนี้ คือ
1.หลักสูตร หมายถึง เนื้อหาวิชาที่จัดไว้เป็นระบบให้ผู้เรียนได้ศึกษา
เพื่อสำเร็จหรือรับ
ประกาศนียบัตรในสาขาวิชาหนึ่ง
2.หลักสูตร หมายถึง
เค้าโครงสร้างทั่วไปของเนื้อหาหรือสิ่งเฉพาะที่จะต้องสอนซึ่งโรงเรียนจัดให้แก่เด็กเพื่อให้สำเร็จการศึกษาและสามารถเข้าศึกษาต่อในทางอาชีพต่อไป
3.หลักสูตร หมายถึง
กลุ่มวิชาและการจัดประสบการณ์ที่กำหนดไว้ให้ผู้เรียนได้เรียนภายใต้การแนะนำของโรงเรียนและสถานศึกษา
โอลิวา (Oliva, 1992 : 8-9) ได้ให้นิยามความหมายของหลักสูตรโดยแบ่งเป็นการให้นิยามโดยยึดจุดประสงค์
บริบทหรือสภาพแวดล้อม และวิธีดำเนินการหรือยุทธศาสตร์ ดังนี้
1.การให้นิยามโดยยึดจุดประสงค์ (Purpose) หลักสูตรจึงมีภาระหน้าที่ที่จะทำให้ผู้เรียนควรจะเป็นอย่างไรหรือมีลักษณะอย่างไรหลักสูตรในแนวคิดนี้จึงมีความหมายในลักษณะที่เป็นวิธีการที่นำไปสู่ความสำเร็จตามจุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมายนั้น
ๆ เช่น หลักสูตร คือ การถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม หลักสูตร คือ
การพัฒนาทักษะการคิดผู้เรียน เป็นต้น
2.การให้นิยามโดยยึดบริบทหรือสภาพแวดล้อม (Contexts) นิยามของหลักสูตร ในลักษณะนี้จึงเป็นการอธิบายถึงลักษณะทั่วไปของหลักสูตรซึ่งแล้วแต่ว่าเนื้อหาสาระของหลักสูตรนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร
เช่นหลักสูตรที่ยึดเนื้อหาวิชา หรือหลักสูตรที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
หรือหลักสูตรที่เน้นการปฏิรูปสังคม เป็นต้น
3.การให้นิยามโดยยึดวิธีดำเนินการการหรือยุทธศาสตร์(Strategies)เป็นการนิยามในเชิงวิธีดำเนินการที่เป็นกระบวนการยุทธศาสตร์หรือเทคนิควิธีการในการจัดการเรียนการสอนเช่น
หลักสูตร คือ กระบวนการแก้ปัญหาหลักสูตร คือ การอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม การทำงานกลุ่ม
หลักสูตร คือการเรียนรู้เป็นรายบุคคล หลักสูตร คือ
โครงการหรือแผนการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น
โอลิวาได้สรุปความหมายของหลักสูตรไว้ว่า หลักสูตร คือ
แผนงานหรือโครงการที่จัดประสบการณ์ทั้งหมดให้แก่ผู้เรียนภายใต้การดำเนินงานของโรงเรียนและในทางปฏิบัติหลักสูตรประกอบด้วยจำนวนของแผนการต่างๆที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรและมีขอบเขตกว้างหลากหลาย
เป็นแนวทางของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ต้องการดังนั้นหลักสูตรอาจเป็นหน่วย (Unit) เป็นรายวิชา (course) หรือเป็นรายวิชาย่อยต่าง
ๆ (sequence of courses) แผนงานหรือโครงการทางการศึกษาดังกล่าวนี้อาจจัดขึ้นได้ทั้งในและนอกชั้นเรียนหรือโรงเรียนก็ได้
ความเห็นของนักวิชาการไทย
นักวิชาการและนักการศึกษาในประเทศไทย ได้ให้คำจำกัดความของหลักสูตรไว้
ดังนี้
กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ (2521:12)ให้ความหมายว่าหลักสูตรคือ ข้อกำหนดที่ประกอบด้วยหลักการ จุดหมายโครงสร้าง
แนวทาง วิธีการ เนื้อหา วัสดุอุปกรณ์ และการจัดการเรียนการสอน
ธวัชชัย
ชัยจิรฉายากุล (2529:
10-11) กล่าวว่าหลักสูตร หมายถึง
กิจกรรมหรือประสบการณ์ทั้งหลายที่โรงเรียนจัดให้กับผู้เรียน
สวัสดิ์
ประทุมราช และคณะ (2521
:1) ให้ความหมายเกี่ยวกับหลักสูตรว่า
เป็นแผนหรือแนวทางของการจัดการศึกษาทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียนที่ชี้แนะให้ผู้บริหารการศึกษาครูอาจารย์
ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาได้พยายามจัดสรรประสบการณ์ทั้งมวลตามที่หลักสูตรกำหนดให้แก่ผู้เรียนหรือเยาวชนในชาติได้พัฒนาตนเอง
ทั้งในด้านความรู้ทักษะและคุณสมบัติที่พึงประสงค์ตามจุดหมายของการจัดการศึกษาชาตินั่นเอง
มาเรียม
นิลพันธุ์ (2543
: 6) หลักสูตร หมายถึง เอกสารข้อกำหนดเกี่ยวกับมวลประสบการณ์
เพื่อให้ผู้เรียนมีพัฒนาไปในแนวทางที่ต้องการ
ศักดิ์ศรี
ปาณะกุล (2543
: 2) หลักสูตร หมายถึง
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เขียนขึ้นอย่างเป็นทางการ
หรือผ่านการยกร่างอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยรายละเอียดของหลักการ
จุดหมายโครงสร้างเนื้อหากิจกรรมแนวทางหรือวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสื่อการวัดผลและประเมินผล
รวมทั้งข้อกำหนดเกี่ยวกับเวลาของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
นิรมล
ศตวุฒิ (2543
: 87) หลักสูตร หมายถึง
ประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งหมดที่ผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาจัดให้แก่ผู้เรียน
ซึ่งประสบการณ์การเรียนรู้เหล่านี้
ครอบคลุมตั้งแต่ประสบการณ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง อันได้แก่ประสบการณ์เรียนรู้ที่กำหนดไว้ในจุดหมายของหลักสูตรประสบการณ์ในขั้นดำเนินการ
อันได้แก่ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากเนื้อหาวิชาและการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ตลอดจนประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นผลของการจัดการเรียนการสอนอันได้แก่ประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับไปแล้วและจะนำไปใช้ต่อไปโดยสรุปผลที่ได้จากแบบประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประเมินหลักสูตร
1. สืบค้นจากหนังสือหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เรื่อง นิยาม ความหมาย : ทฤษฎี ทฤษฎีหลักสูตร
ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร
ตอบ
ความหมายของหลักสูตรมีนักการศึกษาให้ความหมายของคำว่า “ หลักสูตร ” แตกต่างกันออกไป ดังนี้
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554: 95) ได้กล่าวถึงความหมายของหลักสูตรไว้ว่า
หลักสูตร (Curriculum) มีรากศัพท์จากภาาาลาตินว่า “race
- course” หมายถึง เส้นทางที่ใช้วิ่งแข่งขัน เนื่องมาจากเป้าหมายของหลักสูตรที่มุ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญืที่มีคุณภาพและประสบความสำเร็จในการดำรวชีวิตอยู่ในสังคมแห่งอนาคต
และในปัจจุบัน ความหมายของหลักสูตรหมายถึง
มวลประสบการณ์ทางการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในรายวิชา กลุ่มวิชา เนื้อหาสาระ รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ
ที่ได้ดำเนินการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
ทาบา (Taba 1962: 10) กล่าวว่า
หลักสูตร หมายถึงเอกสารที่จัดทำขึ้น เพื่อระบุเป้าหมายและวัตถุประสงค์การเรียนรู้
เนื้อหาสาระ กิจกรรมหรือประสบการณ์เรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้
การพัฒนาหลักสูตรเป็นการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงหลักสูตรอันเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้นในด้านการวางจุดมุ่งหมาย
การจัดเนื้อหาการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล
เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายใหม่ที่วางไว้
โอลิวา
ได้สรุปความหมายของหลักสูตรไว้ว่า หลักสูตร คือ แผนงานหรือโครงการในการจัดประสบการณ์ทั้งหมดให้แก่ผู้เรียน
โดยแผนงานต่างๆ จะระบุเป็นลายลักษณ์อักษร
เพื่อเป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ระบุไว้ มีขอบเขตกว้างขวาง
หลากหลาย ดังนั้น หลักสูตรเป็นได้ทั้งหน่วยการเรียน รายวิชา หรือ
หัวข้อย่อยในรายวิชา ทั้งนี้แผนงานหรือโครงการดังกล่าว
อาจจัดขึ้นได้ทั้งในและนอกชั้นเรียน ภายใต้การบริหารและดำเนินงานของสถานศึกษา
จากการศึกษา นิยาม “ หลักสูตร ” สรุปได้ว่า “หลักสูตร (Curriculum) ” หมายถึง
ศาสตร์ที่เรียนรู้เพื่อนำไปกำหนดวิถีทางที่นำไปสู่การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเพื่อการเรียนรู้
ซึ่งจัดกลุ่มได้เป็น 5 กลุ่มดังนี้
1. หลักสูตรเป็นผลผลิตในรูปแบบ เอกสาร สื่ออิเล็คทรอนิกส์
หรือมัลติมีเดียเป็นต้น
2. หลักสูตรเป็นโปรแกรมการศึกษา โดยปกติเขียนในรูปแบบหลักสูตรรายวิชา
การจัดลำดับของมาตรฐานในการเรียนรู้ตามหลักสูตร
3. หลักสูตรเป็นความตั้งใจเพื่อการเรียนรู้ จะบอกจุดหมาย เนื้อหาสาระ
มโนทัศน์ หลักการทั่วไป และผลการเรียนรู้
4. หลักสูตรเป็นประสบการณ์ของผู้เรียน มีกิจกรรม
ทั้งทีมีการวางแผนและไม่ได้วางแผนไว้
5. หลักสูตรแฝง ไม่ได้เป็นหลักสูตรโดยตรง แต่จะเป็นสิ่งใดหรืออะไรก็ตาม
ที่ผู้เรียนเรียนรู้ที่ไม่ได้วางแผนไว้ หรือถึงแม้จะไม่ได้เป็นความคาดหวังไว้
แต่เป็นไปได้
ความสำคัญของหลักสูตร
นักการศึกษาหลายท่านได้แสดงทัศนะและความคิดเห็นที่เกี่ยวกับความสำคัญของหลักสูตรว่าหลักสูตรมีความสำคัญอย่างไรต่อการจัดการศึกษา
ซึ่งส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าหลักสูตรมีความสำคัญต่อการกำหนดมาตรฐานและคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
ทั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนในแต่ละวัยแต่ละระดับการศึกษาได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมกันหรือไม่
อย่างไร ซึ่งจะมีผลกระทบต่อผู้เรียนว่าควรเรียนรู้สาระการเรียนรู้อะไร
มีเนื้อหาสาระมากน้อยเพียงใด
จากการศึกษาเอกสารพบว่ามีผู้ที่กล่าวถึงความสำคัญของหลักสูตรไว้โดยสรุป ดังนี้
สันต์ ธรรมบำรุง (2527 : 152) สรุปความสำคัญของหลักสูตรไว้ 9 ประการ คือ
1. หลักสูตร
เป็นแผนปฏิบัติงานหรือเครื่องชี้แนวทางปฏิบัติงานของครู
เพราะหลักสูตรจะกำหนดจุดมุ่งหมาย เนื้อหาสาระ
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผลไว้เป็นแนวทาง
2. หลักสูตรเป็นข้อกำหนดแผนการเรียนการสอน
อันเป็นส่วนรวมของประเทศ เพื่อนำไปสู่ความมุ่งหมายตามแผนการศึกษาชาติ
3. หลักสูตรเป็นเอกสารของทางราชการ เป็นบัญญัติของรัฐบาล
หรือเป็นธรรมนูญในการจักการศึกษา เพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปฏิบัติตาม
4. หลักสูตรเป็นเกณฑ์มาตรฐานการศึกษา
เพื่อควบคุมการเรียนการสอนในสถานศึกษาระดับต่างๆ
และยังเป็นเกณฑ์มาตรฐานอย่างหนึ่งในการจัดสรรงบประมาณ บุคลากร อาคาร สถานที่
วัสดุอุปกรณ์ ฯลฯ ของการศึกษาของรัฐแก่สถานศึกษาอีกด้วย
5. หลักสูตรเป็นแผนการดำเนินงานของผู้บริหารการศึกษา
ที่จะอำนวยความสะดวกและควบคุม
ดูแลติดตามให้เป็นไปตามนโยบายการจัดการศึกษาของรัฐบาลด้วย
6. หลักสูตรจะกำหนดแนงทางในการส่งเสริมความเจริญงอกงามและพัฒนาการของเด็กตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา
7. หลักสูตรจะกำหนดและลักษณะรูปร่างของสังคมในอนาคตได้ว่า จะเป็นไปในรูปใด
8. หลักสูตรจะกำหนดแนวทางให้ความรู้ ทักษะ ความสามารถ
ความประพฤติที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม
อันเป็นการพัฒนากำลังซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจแบะสังคมแห่งชาติที่ได้ผล
9. หลักสูตรจะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความเจริญของประเทศ
เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน
ประเทศใดจัดการศึกษาโดยมีหลักสูตรที่เหมาะสม ทันสมัย
มีประสิทธิภาพทันต่อเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงย่อมได้กำลังที่มีประสิทธิภาพสูง
จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า
หลักสูตรเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการศึกษา 3 ระดับ
คือ
1. ระดับประเทศเป็นการชี้ให้เห็นถึงแนวทางการจัดการศึกษาโดยภาพและเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นแนวโน้มสังคมกับการจัดการศึกษาในอนาคต
2. ระดับสถานศึกษา
ซึ่งนับได้ว่าหลักสูตรเป็นหัวใจและจุดเด่นของการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษานั้น
ๆ
3. ระดับห้องเรียนซึ่งมีความสำคัญต่อการนำไปสู่การปฏิบัติ
เพื่อจัดการเรียนรู้ที่เกิดกับผู้เรียนโดยตรง
โดยมีรายละเอียดและเอกสารประกอบที่กำหนดแนวทางว่าจะสอนใคร เรื่องใด เพื่ออะไร
องค์ประกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบของหลักสูตร
ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้หลักสูตรมีความสมบูรณ์เพราะองค์ประกอบเป็นแนวทางในการจัดการศึกษา
ในด้านการจัดการเรียนรู้การบริหารหลักสูตรการวัดและประเมินผล
การปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร
ซึ่งนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงองค์ประกอบของหลักสูตรดังต่อไปนี้
โบแชมป์
(Beauchamp,
1975:107) ได้กำหนดองค์ประกอบของหลักสูตรไว้ 4 ประการ
1. เนื้อหา
2. จุดมุ่งหมาย
3. การนำหลักสูตรไปใช้
4. การประเมินผล
สำหรับ ไทเลอร์ (Tyler, 1950) ได้เสนอข้อคิดเห็นไว้ 4 ประการในการจัดทำหลักสูตรดังนี้
1. ความมุ่งหมายทางการศึกษาที่สถาบันต้องการให้บรรลุมีอะไรบ้าง
2. เพื่อให้บรรลุความมุ่งหมาย จะต้องจัดประสบการณ์อะไรบ้าง
3. ประสบการณ์ที่กำหนดไว้สามารถจัดให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
4. ทราบได้อย่างไรว่าบรรลุความประสงค์แล้ว
ทาบา (Taba, 1962 : 422. อ้างถึงในชุมศักดิ์ อินทร์รักษ์ , 2551 : 48) ได้กล่าวถึงส่วนประกอบของหลักสูตรไว้ว่า ต้องประกอบด้วย
1. จุดมุ่งหมายทั่วไปและจุดมุ่งหมายเฉพาะ
2. เนื้อหาสาระและประสบการณ์เรียนรู้
3. การประเมินผล
ดังนั้นจึงสามารถสรุปองค์ประกอบของหลักสูตร
ได้ดังนี้
1. การวางแผนหลักสูตร (curriculum Planning) เป็นการใช้พื้นฐานแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์
อย่างแรกต้องทราบจุดมุ่งหมายการศึกษาที่โรงเรียนต้องแสวงหา
มีการกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้นความรู้
ผู้เรียนและสังคมอาจเพิ่มเติมด้านสาขาวิชาและด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพื่อนำไปวางแผนหลักสูตร
2. การออกแบบหลักสูตร (Curriculum Design) การออกแบบหลักสูตรคือ
การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้
โดยการนำจุดหมายและจุดมุ่งหมายของหลักสูตรมาจัดทำกรอบการปฏิบัติ
ซึ่งหลักสูตรที่จัดทำขึ้นเพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาตามกระบวนการของหลักสูตร
3. การจัดหลักสูตร (Curriculum Orgaziation) เพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ
โดยต้องพิจารณาว่าตรงตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่ และสอดคล้องกับคำถามที่ 3 ของไทเลอร์ ที่ได้กล่าวว่า
จัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ? ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการบริหาร
การนิเทศและการจัดการเรียนรู้
4. การประเมินหลักสูตร (Curriculum Evaluation) กระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาตัดสินใจเกี่ยวกับคุณภาพทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิพลของหลักสูตร
รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการใช้หลักสูตรนั้นในอนาคต
ประเภทของหลักสูตร
การแบ่งประเภทของหลักสูตรเป็นการแบ่งตามแนวคิด ปรัชญา
และทฤษฎีของ การศึกษา ประเภทของหลักสูตรออกได้เป็น 9 แบบ ดังนี้
1. หลักสูตรรายวิชา (Subjective Curriculum) เป็นรูปแบบหลักสูตรดั้งเดิม
โดยเน้น เนื้อหาสาระซึ่ งลักษณะหลักสูตรแบบนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจเนื้
อหาสาระ
2. หลักสูตรสหพันธ์ (Correlated Curriculum) หลักสูตรที่นําเอาเนื้
อหาของวิชาอื่นที่มีความสัมพัน์กันมารวมเข้าด้วยกัน แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ 2 วิชา โดยไม่ทําลาย ขอบเขตวิชาเดิม คือ
ไม่ได้มีการผสมผสานเนื้อหาเข้าด้วยกัน
3. หลักสูตรผสมผสาน (Fused Curriculum) เป็นการจัดหลักสูตรที่มุ่งเน้นรายวิชา
โดยสร้างจากเนื้ อหาวิชาที่เคยแยกสอนให้เป็นวิชาเดียวกัน
แต่ยังคงรักษาเนื้อหาพื้นฐานของแต่ ละวิชาไว้
4. หลักสูตรหมวดวิชา (Board Field Curriculum) เป็นรูปแบบหลักสูตรที่มีลักษณะ หลายหลักสูตร ได้แก่
หลักสูตรสหสัมพันธ์และหลักสูตรแบบผสมผสาน
5. หลักสูตรวิชาแกน (Core Curriculum) เป็นหลักสูตรที่มีวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแกน
ของวิชาอื่นๆ โดยเน้นเนื้อหาด้านสังคมและหน้าที่ พลเมือง เพื่ อการแก้ปัญหา
6. หลักสูตรที่เน้นทักษะกระบวนการ (Process Skills
Curriculum) เป็นหลักสูตรที่มุ่งให้เกิดทักษะกระบวนการ
7. หลักสูตรที่ เน้นสมรรถฐาน (Competency or Performance base
Curriculum) เป็นหลักสูตรที่มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างจุดมุ่งหมาย
กิจกรรม การเรียนการสอน และ ความสามารถในการปฏิบัติของผู้เรียน
8. หลักสูตรที่ เน้นกิจกรรมและปัญหาสังคม (Social Activities and
Problem Curriculum) หลักสูตรแบบนี้จะแตกต่างกันไปตามแนวคิดของแต่ละกลุ่ม
9. หลักสูตรที่ เน้นความต้องการและความสนใจของแต่ละบุคคล (Individual Needs and Interest Curriculum) เป็นหลักสูตรที่
เน้นความสนใจและความต้องการของผู้เรียน เช่น การเน้นที่ผู้เรียน
การเน้นที่ประสบการณ์
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านปรัชญา
จิตวิทยา สังคม
การพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานในการพัฒนาที่สำคัญ
ซึ่งพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นจริงในการพัฒนาหลักสูตรนั้นต้องประกอบไปด้วยพื้นฐานอย่างน้อย 3 ด้าน คือ พื้นฐานด้านปรัชญา พื้นฐานด้านจิตวิทยา พื้นฐานด้านสังคม
ซึ่งในแต่ละพื้นฐานมีความสำคัญดังต่อไปนี้
พื้นฐานด้านปรัชญา
เป้าหมายหลักสูตรเน้นด้านความรู้
กำกับด้วยปรัชญาทางการศึกษา 2 ปรัชญา คือ ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism) โดยมีความเชื่อว่า
ระบบการศึกษาควรเน้นหนักในการศึกษาความรู้และวัตฒนธรรม
เป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การอนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรม และ ปรัชญานิรันดรนิยม (Perenialism) ที่มีความเชื่อว่า
ระบบการศึกษาควรเน้นการจัดประสบการณ์ให้ได้มาซึ่งความรู้
ความคิดที่เป็นสัจธรรม มีคุณธรรม และมีเหตุผล
เป้าหมายหลักสูตรเน้นด้านผู้เรียน
กำกับด้วยปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม
(Existentialism) โดยมีความเชื่อว่าการศึกษามีความสำคัญในแง่ของวิธีการที่นำมาใช้ คือ
กระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์
เพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาในบทเรียน
และนำเอากระบวนการแก้ปัญหาไปใช้ในชีวิตประจำวัน
เป้าหมายหลักสูตรเน้นด้านสังคม
กำกับด้วยปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) โดยมีแนวคิดว่า
ผู้เรียนมิได้เรียนเพื่อมุ่งพัฒนาตนเองเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องเรียนเพื่อนำความรู้ไปพัฒนาสังคมให้สังคมเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ดังนั้นปรัชญาปฏิรูปนิยม จึงมีความเชื่อว่า
การศึกษาควรเป็นเครื่องมือของมนุษย์ในการปฏิรูปสังคม
พื้นฐานด้านจิตวิทยา
ในการจัดทำหลักสูตรจำเป็นต้อง
ศึกษาข้อมูลพื้นฐานทางจิตวิทยา ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนว่าผู้เรียนเป็นใคร
มีความต้องการและความสนใจอะไร มีพฤติกรรมอย่างไร เป็นต้น
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนักพัฒนาหลักสูตรจะนำมาใช้เพื่อกำหนดจุดมุ่งหมายหลักสูตร
กำหนดเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนรู้
จิตวิทยาการเรียนรู้จะถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้ความรู้ในเรื่องธรรมชาติการเรียนรู้
และปัจจัยทางวิทยาที่ส่งเสริมการเรียนรู้
สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวคิดของนักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเรียนรู้มี 4 กลุ่ม ใหญ่ๆด้วยกัน ได้แก่ 1) ทฤษฎีการเรียนรู้พฤติกรรมนิยม 2) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม 3) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษย์นิยม 4) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มสร้างสรรค์นิยม
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านจิตวิทยา
นอกจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการเรียนรู้แล้ว
ในการพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องมีข้อมูลเกี่ยวข้องกับพื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านผู้เรียน
ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
โดนัล คลาก (Donald Clark,
2004:1) กล่าวว่าขั้นตอนวิเคราะห์
ข้อมูลประชากรกลุ่มเป้าหมายมีความจำเป็นและมีประโยชน์มาก
เมื่อต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการเสนอโปรแกรมการเรียนการสอน
ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลต่างๆ ดังนี้
· จำนวนผู้เรียน
· ที่ตั้งของโรงเรียน
· การศึกษาและประสบการณ์ของผู้เรียน
· ภูมิหลังของผู้เรียน
· แรงจูงใจของผู้เรียน
· ระดับความสามารถในการปฎิบัติงานที่ต้องการ กับระดับทักษะในปัจจุบัน
· ความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมของผู้เรียน สิ่งเร้าของผู้เรียน
· ลักษณะทางกานภาพหรือความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียน
· ความสนใจพิเศษหรืออคติของผู้เรียน
พื้นฐานด้านสังคม
ข้อมูลพื้นฐานด้านสังคมที่สำคัญที่ควรศึกษาวิเคราะห์เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร
คือ ข้อมูลที่เกี่ยวกับสภาพสังคม แนวคิดของพัฒนาการทางสังคม 4 ยุค คือ ยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม ยุคสังคมข่าวสารข้อมูล
ยุคข้อมูลฐานความรู้ และยุคปัญญาประดิษฐ์ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการจัดทำหลักสูตรว่าจะมีแนวปฎิบัติในการจัดทำหลักสูตรหรือพัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับผู้เรียนในยุคสมัยต่างๆ
ประการสำคัญในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้านสังคมมุ่งการสร้างเครือข่ายหรือความร่วมมือของชุมชน
ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการจัดทำหลักสูตร การกำหนดวิชาเรียนต่างๆ
เพราะบางราบวิชาสภาพชุมชนไม่ส่งเสริมเท่าที่ควร ก็อาจเป็นอุปสรรคในการจัดการศึกษา
ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชนและสังคมที่โรงเรียนต่างๆ
สามารถนำไปใช้ในการบริหารและจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร
ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรต้องมีการร่วมมือกันหลายฝ่ายเพื่อให้ผลงานออกมาตรงเป้าหมาย
ได้แก่
1. ผู้บริหารสถานศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษาที่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา
เข้าใจบทบาทหน้าที่ของผู้บริหารอย่างถ่องแท้และนำไปปฏิบัติอย่างจริงจังแบบต่อเนื่อง
จะช่วยให้การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาประสบผลสำเร็จได้อย่างมีคุณภาพ
ผู้บริหารสถานศึกษาในยุคปฏิรูปการศึกษาต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากการสั่งการมาเป็นผู้ร่วม
คือ ร่วมวางแผนและร่วมปฏิบัติ ผู้บริหารสถานศึกษาจึงควรมีบทบาทดังนี้
1.1
จัดทำแผนพัฒนาสถานศึกษาเพื่อใช้ในการดำเนินการจัดการศึกษา
1.2
เป็นผู้นำในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาโดยร่วมประสานกับบุคลากรทุกฝ่าย
เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน
ตลอดจนสาระตามหลักสูตรสถานศึกษา
1.3
ประชาสัมพันธ์หลักสูตรสถานศึกษา
1.4
สนับสนุนให้บุคลากรทุกฝ่ายของสถานศึกษามีความรู้และความสามารถในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา
รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
1.5
มีการนิเทศภายใน เพื่อนิเทศ กำกับ
ติดตามการใช้หลักสูตรสถานศึกษาอย่างมีระบบ
1.6
จัดให้มีการประเมินผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อปรับปรุง
พัฒนาสาระของหลักสูตรสถานศึกษาให้ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
ชุมชนและท้องถิ่น
2. ครูผู้สอน
ครูผู้สอนมีบทบาทโดยตรงในการร่วมพัฒนาหลักสูตร
จัดการเรียนรู้ ครูในยุคปฏิรูปการศึกษาจะต้องปรับเปลี่ยนจากการเป็นผู้สอน
เป็นผู้เอื้ออำนวยความสะดวกต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
โดยการชี้แนวทางการนำความรู้จากแหล่งต่างๆ มาใช้ประโยชน์ กล่าวคือ
ทำให้ผู้เรียนรู้วิธีการเข้าถึงแหล่งข้อมูล มีทักษะในการใช้สื่อ
ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการสืบค้นข้อมูลมาใช้ได้สะดวก
วิธีการที่ครูสามารถทำได้ในฐานะผู้เอื้ออำนวยความสะดวกที่ดี เช่น
ให้โอกาสผู้เรียนเข้าไปใช้บริการสืบค้นข้อมูลจากห้องสมุดของโรงเรียน
บอกแหล่งที่มาของข้อมูลให้ผู้เรียนที่สนใจสามารถสืบค้นได้จากซีดีรอม
หรือจากโฮมเพจในอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
นอกจากนี้
ครูยังต้องปรับบทบาทจากการเป็นผู้ป้อนข้อมูล เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา
โดยครูจะต้องตระหนักเสมอว่า ตนเองไม่ใช่ผู้กำหนดความรู้
แต่เป็นผู้สอนแก่นความรู้ในวิชาที่สอน และแนะวิธีการคิด
ให้กรอบในการวิเคราะห์เนื้อหาวิชาการ แนะนำการพิจารณาข้อมูลที่จะเลือกนำมาใช้
แนะนำเรื่อง ทั่วๆ ไปที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของผู้เรียนด้วย เช่น ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ
การพัฒนาบุคลิกภาพ มารยาท การป้องกันตนเองจากภัยอันตรายต่าง ๆ เป็นต้น
ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำ
ปรึกษาแก่นักเรียนและเป็นผู้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ก็ต่อเมื่อครูเป็นผู้ที่เรียนรู้มาก่อน
นั่นหมายความว่า ครูจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
เป็นคนช่างสังเกตและคิดแตกฉานกับข้อมูลและความรู้ที่ผ่านเข้ามาในสมองด้วยการตั้งคำถามและหาทางพิสูจน์เรื่องเหล่านี้ให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
ในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ครูไม่เพียงแต่จะมีบทบาทหน้าที่ในการจัดการเรียนรู้เท่านั้น
แต่ครูยังต้องมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ดังต่อไปนี้ (กรมวิชาการ 2543 :
16)
2.1
ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจนเข้าใจกระจ่าง
2.2
ศึกษาหลักการ วิธีการพัฒนาหลักสูตรระดับสถานศึกษา
2.3
ร่วมวางแผน และร่วมพัฒนาหลักสูตรระดับสถานศึกษา
2.4
ตรวจสอบความสอดคล้องสัมพันธ์กันของสาระที่จัดทำขึ้นตามสภาพปัญหา/ความต้องการของชุมชน
และภูมิปัญญาท้องถิ่น
กับมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มวิชาและมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2.5 วางแผนการจัดการเรียนการสอนตามขอบข่ายเนื้อหาสาระ มาตรฐาน สัดส่วนของเวลา
และหน่วยการเรียนรู้
2.6 นำหลักสูตรไปปฏิบัติให้เกิดผลในห้องเรียน
โดยเลือกใช้กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายสอดคล้องกับธรรมชาติของสาระการเรียนรู้และเหมาะสมกับผู้เรียน
2.7 วางแผนและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ได้ข้อมูลที่แสดงความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน
ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงนั้น
และนำผลการประเมินมาพัฒนาผู้เรียนต่อไป
2.8 ร่วมประเมินผลการใช้หลักสูตรกับสถานศึกษา
3. ผู้เรียน
เนื่องจากผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการกำหนดจุดหมายของการพัฒนาหลักสูตร
หลักสูตรทุกหลักสูตรพัฒนาขึ้นเพื่อสนองความต้องการของผู้เรียนโดยตรง
ผู้เรียนจึงควรมีส่วนแสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลที่สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียนให้ผู้รับผิดชอบพัฒนาหลักสูตรได้ทราบ
และเนื่องจากผู้เรียนเป็นผลผลิตของการจัดการศึกษาโดยตรง
ผู้เรียนจะมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์คือเป็นคนดี มีปัญญา และมีความสุขได้
ผู้เรียนจะต้องปรับปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ของตนจากการเป็นผู้รับมาเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง มีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความถนัด
ความสนใจ และความสามารถของตนเอง
บทบาทหน้าที่ของผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มีดังนี้
3.1
มีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับผู้ปกครองและครู
วางแผนการเรียนรู้ของตนเองตามความถนัด ความสนใจและความสามารถของตนเอง
3.2
มีความรับผิดชอบ
ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และบริหารจัดการเรียนรู้ของตนเองให้มีคุณภาพ
3.3
ปฏิบัติตนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
รู้วิธีแสวงหาความรู้ พร้อมทั้งสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
3.4
มีการประเมินและพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
3.5
มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับครูและเพื่อนโดยช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
4. ผู้ปกครอง
การปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้เปิดโอกาสให้บิดามารดา ผู้ปกครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่ายร่วมมือกับสถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ (มาตรา 24) ฉะนั้น
บิดามารดาและผู้ปกครองจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดในการฝากบุตรหลานไว้ในความดูแลของครูมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน
โดยผู้ปกครองควรจะมีบทบาท ดังนี้
4.1
กำหนดแผนการเรียนรู้ของผู้เรียนร่วมกับครูและผู้เรียน
4.2
มีส่วนร่วมในการกำหนดสาระของหลักสูตรสถานศึกษา
และกำหนดแผนพัฒนาสถานศึกษาหรือธรรมนูญสถานศึกษา
4.3
ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
4.4
อบรมเลี้ยงดู เอาใจใส่ ให้ความรักความอบอุ่น
ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่างๆ ของผู้เรียน
4.5
สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามความเหมาะสม
4.6
ร่วมมือกับครูและผู้เกี่ยวข้อง ประสานงาน
ป้องกันและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของผู้เรียน
4.7
พัฒนาตนเองให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
มีความรู้คู่คุณธรรม เป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อนำครอบครัวไปสู่สถาบันแห่งการเรียนรู้
4.8
มีส่วนร่วมในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนและการประเมินการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
5. ชุมชน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตรและบริหารจัดการให้เกิดวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่กลมกลืนกับท้องถิ่น
และร่วมกับสถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยมีบทบาทดังนี้
5.1
มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาสถานศึกษาหรือธรรมนูญของสถานศึกษา
5.2
มีส่วนร่วมในการกำหนดสาระของหลักสูตรสถานศึกษา
เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคม
5.3
เป็นแหล่งการเรียนรู้
สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จากสถานการณ์จริง
5.4
ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของสถานศึกษา
5.5
มีส่วนร่วมในการตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
และให้ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาคุณภาพของสถานศึกษา
การมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาจะประสบผลสำเร็จได้ด้วยดี
จะต้องได้รับความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานจากบุคลากรทุกฝ่าย
ทั้งในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษาไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน
บิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลหรือหน่วยงานในชุมชน ได้แก่ องค์กรชุมชน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา
สถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น