การศึกษากับการพัฒนาความเป็นมนุษย์
พระสมุห์สุรเชษฐ์ หนูเอี่ยม*
การศึกษาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับการเรียนรู้เสมอ ทั้งความสำคัญของการเรียนรู้จะทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้และเป็นผู้รับการฝึกอบรมให้พัฒนาขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเพื่อมีชีวิตอยู่รอดส่วนหนึ่ง
และเรียนรู้ได้โดยกระบวนการศึกษาอบรมอีกส่วนหนึ่ง เป้าหมายที่สำคัญของการศึกษา คือ การเปลี่ยนผู้เรียนจากผู้ไม่รู้ สู่ผู้รู้ และเห็นได้จากการมีวิธีคิด จิตสำนึก ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอนที่ยังไม่รู้และเกิดพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า
การศึกษาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นสร้างผู้เรียนให้เป็นเพียงผู้จำอย่างเดียวและเป็นเพียงการจำเพื่อไปสอบและเพื่อไปแข่งขัน สร้างให้ผู้เรียนมีสภาพเป็นตำราที่เดินได้ โดยไม่ได้นำเอากระบวนการ “การเปลี่ยนคน
สร้างสรรค์สังคม”มาเป็นเป้าหมายสำคัญของการศึกษา ทำให้การศึกษาเป็นประหนึ่งคำที่หลวงพ่อพุทธทาสกล่าวว่า “การศึกษา หมาหางด้วน” ที่ขาดมรรควิธีในการพัฒนา “คน”เพื่อความเป็น“มนุษย์” ที่สมบูรณ์
มีความรู้คู่คุณธรรม
1. ความหมายของการศึกษากับการพัฒนาความเป็นมนุษย์
การศึกษา หรือ“Education” มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า “Educare” มีความหมายตรงกับคำว่า “Bring
up” หมายถึง การดึงออกการศึกษามิใช่การใส่เข้าไป (put
in) แต่หมายถึง การดึงเอาความรู้
หรือสิ่งที่มีอยู่ในผู้เรียนออกมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด (สนิท ศรีสำแดง,มปพ.)
ตามทัศนะนี้ถือว่าผู้เรียนทุกคนมีความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้วการศึกษาจึงเป็นเพียงการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วนั้นให้เจริญงอกงามขึ้นเท่านั้นตามแนวความคิดนี้ผู้สอนจึงมีฐานะเป็นเพียงGuide คือผู้ชี้แนะแนวทางเท่านั้นซึ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น
เรื่องการปฏิบัติหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของท่าน (อกฺขาตาโร
ตถาคตา)
การศึกษาคือการพัฒนาความเป็นมนุษย์ ใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพฤติกรรม พัฒนาได้ด้วยศีล ด้านจิตใจ พัฒนาได้ด้วยสมาธิ และด้านความรู้ พัฒนาได้ด้วยปัญญา ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาไปพร้อมๆ
กัน เพราะเป็น 3 ด้านของชีวิตที่ไม่อาจแยกขาดจากกันได้ การพัฒนาในลักษณะนี้จะเป็นการพัฒนาอย่างประสานกลมกลืนส่งผลเกื้อกูลกันไปด้วยดีทั้งระบบตามแนวพุทธจริยธรรม
ที่เป็นเรื่องที่คอบคลุมทั้งพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา เป็นการพัฒนาชีวิตทั้งหมด
(พระธรรมปิฏก (ปอ.ปยุตฺโต),2540 หน้า 142-146)
2. ความรู้คู่คุณธรรม
การศึกษาจะต้องมีการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้าน คือ
การพัฒนาผู้เรียนให้ครอบคุลมในหลายมิติ ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา
สังคมและอารมณ์ ทั้งนี้ ตามรายงานขององค์การยูเนสโกเรื่องการศึกษาคือขุมทรัพย์ภายใน
(Learning:
The Treasure Within) (องค์การยูเนสโก. 1996 (2539)) ที่กำหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับคริสต์ศตวรรษที่ 21 ได้เสนอจตุสดมภ์การศึกษา (Four Pillars of Education) กล่าวคือความสมบูรณ์ของการศึกษาประกอบด้วยเสาหลักการศึกษา 4 ประการ (พระเทพโสภณ (ประยูร
ธมฺมจิตฺโต), 2546 หน้า 5) ได้แก่
1. การศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพ (Learning
to Know) ได้แก่การเรียนเพื่อรู้
หมายถึงการเรียนเพื่อเตรียมเครื่องมือสำหรับการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิต เช่น
คนไทยต้องเรียนภาษาไทยให้อ่านออกเขียนได้เพื่อจะได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไป
หรือการเรียนด้านภาษาสากล การเรียนคอมพิวเตอร์
เพื่อเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าหาความรู้
เนื่องจากข้อมูลความรู้ได้บรรจุไว้ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเขียนเป็นภาษาสากล (ภาษาอังกฤษ)
เสาหลักการศึกษาประการแรกนี้ ยังรวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านจิตใจผู้เรียน
ให้มีความพร้อมเพื่อการศึกษาต่อ ได้แก่การเรียนการสอนที่เกิดความสนุก อยากเรียน
รักที่จะเรียนรู้ มีความสุขในการเรียนและการแสวงหาความรู้ เพราะการมีสุขภาพจิตที่ดี
2. การศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพ (Learning
to do) ได้แก่เรียนเพื่อทำได้ สมรรถภาพ คือ
ความสามารถในการนำความรู้มาปฏิบัติให้บรรลุผลตามความมุ่งหวัง
การเรียนเพื่อให้ทำได้ก็คือการเรียนเพื่อใช้ความรู้ในการทำงาน การประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นผลของการเรียนที่มุ่งเน้นการปฏิบัติ
การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องพัฒนาคนให้มีความสามารถหลากหลาย (Personal competence) สามารถทำงานได้หลายอย่างโดยอาศัยเครื่องจักรลดกำลังแรงกาย
และอาศัยคอมพิวเตอร์ลดกำลังสมองในการคิด รวมทั้งความสามารถในการทำงานร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข
เพื่อเสริมสร้างการทำงานเป็นทีมให้เข้มแข็ง นั่นก็คือทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ (People
Skills) ของผู้เรียน และความสามารถในการบริหารจัดการ
การมีคุณธรรมภายในจิตใจ เช่น ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตว์ การตรงต่อเวลา เป็นต้น
3. การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ (Learning
to live together) ได้แก่การใช้ความรู้ความสามารถเพื่อสังคมส่วนรวม
เสาหลักการศึกษา 2
ประการแรกเป็นการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนเก่งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
ในประการที่สามนี้เป็นศึกษาที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้ความรู้ความสามารถในการทำประโยชน์แก่ผู้อื่น
เป็นการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพด้วยการสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่สังคม
นั่นก็คือการเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันฉันญาติมิตร
โลกในศตวรรษที่ 21 จะมีความขัดแย้งและนำไปสู่ความรุนแรงค่อนข้างสูง
จากสาเหตุหลักของความขัดแย้ง คือ
ความนิยมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยการพลีชีพเพื่อให้อีกฝ่ายตายตามไปด้วย
โลกมีการแข่งขันกันในทุก ๆ ด้านสูง ซึ่งการแข่งขันมีเป้าหมายเพื่อชัยชนะ
ทุกภาคส่วนของสังคมถูกผลักดันให้เข้าไปอยู่วงจรของการแข่งขัน ภายใต้การนำเสนอข่างของสื่อมวลชนผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย
และทุกคนสามารถรับรู้เหตุการณ์ความรุนแรงต่าง ๆ ได้พร้อมกันทั่วทั้งโลก
การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสลายความรุนแรงและความขัดแย้งดังกล่าว
ด้วยการหันหน้าเจรจาและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
มีความรู้ความเข้าใจในมิติที่แตกต่างกันในด้านชาติพันธุ์ ศาสนา และความเป็นอยู่
4. การศึกษาเพื่อพัฒนามนุษยภาพ
(Learning to be) ได้แก่การพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
กล่าวคือเมื่อผู้เรียนจบการศึกษาไปแล้วเขาจะต้องเป็นอะไรที่มากกว่าเครื่องจักรในโรงงาน
มากกว่าความเป็นแรงงานราคาถูก และมากกว่าความเป็นทรัพยากรมนุษย์หรือสัตว์เศรษฐกิจ
นั่นก็คือการศึกษาต้องไม่กดคนให้ต่ำลงมีค่าเพียงทรัพยากรหรือเครื่องจักรชิ้นหนึ่ง
แต่ต้องพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เต็มตามศักยภาพในทุกมิต
แท้ที่จริงแล้วเสาหลักทางการศึกษาตามรายงานขององค์การยูเนสโกนี้
มิใช่เป็นเรื่องใหม่เลยสำหรับระบบการศึกษาไทย ทั้งนี้
หากเรามองย้อนไปถึงระบบการศึกษาของไทยในอดีตที่การศึกษาไทยยึดหลักการศึกษาตามแนวพระพุทธศาสนา
จะพบว่าการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้ครบทั้ง 4 ด้านนี้
เป็นการศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนากล่าว คือ
1. กายภาวนา คือ
การศึกษาเพื่อการพัฒนาทางด้านร่างกาย เพื่อให้มีทักษะในการใช้เครื่องมือ
อุปกรณ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ตามแนวหัตถศึกษา
2. สีลภาวนา คือ
การศึกษาเพื่อพัฒนาด้านสังคม เพื่อปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ อยู่ในสังคมได้
รู้จักบริหารจัดการที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรมตามแนวจริยศึกษา
3. จิตภาวนา คือ
การศึกษาเพื่อพัฒนาทางจิต เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจ ไม่ดูถูกตนเอง
ไม่ดูถูกท้องถิ่น มีสุขภาพจิตดี มีความสุขตามสมควรแก่ฐานะ
จัดเป็นสุขศึกษาที่เน้นทั้งสุขกายและสุขใจ
4. ปัญญาภาวนา คือ การพัฒนาทางปัญญา เพื่อให้มีอิสระทางความคิด
ได้แก่การคิดเป็นตามหลักโยนิโสมนสิการ
แสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องทุกเวลา มีความรู้พอเพียงต่อการแก้ไขปัญหา
กล่าวคือการมีทักษะในการแก้ปัญหาชีวิต เทียบได้กับพุทธิศึกษา
ความคาดหวังอันจะเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมไปสู่เป้าหมายดังกล่าวก็คือ
“การศึกษา” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญและจำเป็นที่สุด
รากฐานของการศึกษาที่วางอยู่บนฐานที่ถูกต้องจึงเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันสังคมให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จคืออุดมคติที่วางไว้
เมื่อพิจารณาระบบการศึกษาของ
สังคมไทยปัจจุบัน
จะพบว่ายังอยู่ห่างไกลจากจุดประสงค์ของการศึกษาดังกล่าว อันสืบเนื่องมาจาก
ความบกพร่องหรือความล้มเหลวทางการศึกษาหลายประการด้วยกันที่ปลูกฝังให้แก่ผู้ศึกษา
เช่น
เป้าหมายของการศึกษาคือความเป็นเลิศทางวิชาการ (เน้นความรู้แต่ขาดจริยธรรม)
ความเชื่อ และค่านิยม โดยเฉพาะเรื่องค่านิยมทางการศึกษาในสังคมไทยนั้น
ถือว่ามีความบกพร่องประสบความล้มเหลว ถึงจุดที่จะต้องแก้ไข
3. การเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง โดยผ่านกระบวนการตามหลักไตรสิกขา
ระบบการศึกษาของพระพุทธศาสนาจึงมีหน้าที่ที่สำคัญ คือ
การเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
เพื่อสร้างคนให้เจริญด้วยกระบวนการตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ
และปัญญา โดยกระบวนการพัฒนา ดังนี้
(ขันทอง วิชาเดช. 2547 หน้า 8 - 12)
3.1
การพัฒนาค่านิยม : กิน กาม เกียรติ
ระบบการศึกษาในสังคมไทยปัจจุบัน
จัดระบบการศึกษาตามแบบอย่างของการศึกษา
ระบบตะวันตกซึ่งเน้นหนักหรือให้ความสำคัญกับการพัฒนาวัตถุภายนอกมากกว่าจะพัฒนาจิตใจ
ภายใน
ขาดหลักพุทธธรรมของพุทธศาสนา หรือบทบาททางศาสนาไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องชี้แนะ
กระบวนการศึกษาอย่างที่ควรจะเป็น
ผู้ศึกษาจึงห่างไกลจากหลักศีลธรรม จริยธรรม คุณค่าความหมายของการศึกษา
ตลอดจนค่านิยมทางการศึกษาก็บิดเบือน คลาดเคลื่อนห่างไกลจากหลัก
พุทธธรรม
การศึกษากลายเป็นเพียงเพื่อความอยู่รอด มิใช่เพื่อพัฒนาชีวิตให้ประสบกับความสุข
ฉะนั้น การศึกษาในสังคมไทยปัจจุบัน
จะต้องเป็นการพัฒนาปรับทิศทางให้ผู้รับการศึกษามีค่านิยมที่ถูกต้องตามหลักของพุทธศาสนาคือ
ค่านิยมแห่งการไม่เบียดเบียนกัน
ไม่ใช่เห็นกันเป็นเหยื่อเป็นการศึกษาเพื่อมนุษย์จะมีโอกาสได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
โดยการทำลายเสียซึ่งสัญชาตญาณอย่างสัตว์
แล้วมีการประพฤติกระทำอย่างมนุษย์ที่มีใจสูงโดยสมบูรณ์ (พุทธทาสภิกขุ, 2517 หน้า 43) คือต้องมีเมตตาธรรมซึ่งตรงกันข้ามกับความเบียดเบียน
หรือดังที่เรียกกันในปัจจุบันว่าหลักอหิงสา ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติทางจิตใจ 4 ประการคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
แล้วแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกต่อบุคคลในสังคมรอบข้างด้วยสังคหวัตถุ 4 อย่าง คือ (พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), 2527หน้า
183-185)
3.1.1 ทาน หมายถึง
การช่วยเหลือเผื่อแผ่แบ่งปันสิ่งของ ซึ่งแสดงออกมาเป็นความเมตตา กรุณา
3.1.2 ปิยวาจา ได้แก่
การช่วยแนะนำตักเตือนด้วยถ้อยคำที่มีเหตุผลอันประกอบด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์และมีเมตตา
คือ ต้องการให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข ให้เขาพ้นจากความทุกข์
ปิยวาจารวมถึงความมีน้ำใจต่อกันด้วยการกล่าวถ้อยคำสุภาพอ่อนโยน
3.1.3 อัตถจริยา
หมายถึง การกระทำกิจการงานต่าง ๆ ขวนขวายในการบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือรับใช้บริการ
ส่งเสริมสนับสนุนการงานของตนและผู้อื่น
3.1.4 สมานตัตตา ได้แก่ การวางตัวหรือปรับตัวให้เข้ากับบุคคลในสังคมได้
เช่น วางตนเสมอเข้ากันได้ ไม่มีความถือตัว มีความยุติธรรม ร่วมมือ ร่วมกิจกรรม
ดังคำว่า มีสุขก็ร่วมสุข มีทุกข์ก็ร่วมต้าน
หลักสังคหวัตถุ 4แสดงให้เห็นถึงวิธีการปฏิบัติต่อกันโดยผ่านกระบวนการศึกษาในพุทธศาสนา
ซึ่งไม่ใช่สอนให้ละเลิกทรัพย์สมบัติโดยไม่สนใจใยดี หรือไม่ต้องการเสพสิ่งวัตถุใด ๆ
หรือไม่สนใจในเกียรติยศชื่อเสียงต่าง ๆ
แต่ตรงกันข้ามพุทธศาสนากลับให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมากเพราะถือว่า
เป็นปัจจัยจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างหนึ่ง
ดังนั้น
บทบาททางการศึกษาของพุทธศาสนาจึงสอนให้มีการเก็บทรัพย์ รักษาทรัพย์
หาทรัพย์และใช้จ่ายทรัพย์
ยินดีส่งเสริมเรื่องการแสวงหาทรัพย์ด้วยความขยันหมั่นเพียร
การได้มาซึ่งทรัพย์และชื่อเสียงความยกย่องจากสังคมนั้นจะต้องเป็นไปด้วยความชอบธรรม
มีคุณธรรมอันเกิดจากความดีของตนเองเป็นหลัก
สิ่งที่ดีที่สุดที่ผู้ศึกษาควรจะได้รับจึงมิใช่เรื่องของความเอร็ดอร่อยของการเสพวัตถุทางอินทรีย์ทั้ง
5 แต่เป็นการกินอยู่และดำเนินชีวิตแบบพอดี
หรือที่เข้าใจกันดีในหลักธรรมทางพุทธศาสนาว่า ความสันโดษ คือสันโดษด้วยปัจจัย 4ที่ตนหามาได้เป็นของตน ด้วยเรี่ยวแรงความเพียรพยายามโดยชอบธรรม
และการเสพปัจจัย 4
นั้นก็กระทำด้วยความรู้เท่าทันอย่างมีสติปัญญา ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุ
ไม่แก่งแย่งแข่งชิง หรือไม่เบียดเบียนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น