บทที่
2
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
สาระเนื้อหา(Content)
ความหมายของทฤษฎี
2.ลักษณะของทฤษฎี
(1) วัยทารกและวัยเด็กเล็ก นับอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี
(2) วัยเด็กกลางเริ่มตั้งแต่อายุ 6-12 ปี
(3) วัยรุ่น อายุระหว่าง 12-18 ปี
(4) วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุระหว่าง 18-30 ปี
(5) วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง อายุระหว่าง 30-60 ปี
(6) วัยผู้ใหญ่ตอนปลาย อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
3.1.1.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
- การเรียนรู้ด้วยการกระทำบรูนเนอร์ได้พัฒนาทฤษฎีให้เป็นขั้นตอนยิ่งขึ้นด้วยการเน้นให้เห็นว่าการเรียนรู้ด้วยการกระทำนั้นเป็นขั้นที่การเรียนรู้ที่เกิดจากประสาทสัมผัสด้วยกันทั้งสิ้นการเรียนในขั้นนี้จึงเป็นการเรียนในขั้นเด็กเล็ก
- การเรียนรู้ด้วยการมองดูคำว่ามองดูในที่นี้ไม่ใช่เป็นการมองดูด้วยตาตามความหมายของการมองดูแต่มีความหมายถึงการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนได้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้และสามารถจำแนกสิ่งต่างๆได้อย่างมีเหตุผล
3.1.2 รากฐานทางปรัชญา
3.1.2.2 สัจจนิยม(Realism) เป็นปรัชญาที่เน้นวัตถุธรรม มีความเชื่อว่าความจริงหรือความรู้เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ ดังนั้น การที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ก็จะต้องทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งแบ่งเป็น 2 พวก คือ เน้นด้านเหตุผล ซึ่งจะนำเอาตรรกวิทยามาเกี่ยวข้อง อีกพวกคือ ธรรมชาตินิยม พวกนี้เชื่อว่าสิ่งต่างๆย่อมมีจริงอยู่ในธรรมชาติ
3.1.2.3 ปฏิบัตินิยม(Pragmatism) เป็นปรัชญาที่มุ่งเน้นพิจารณาด้านการนำไปปฏิบัติ มีอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ
3.1.2.4 ภววาทนิยม(Existentialism) หรือบางครั้งเรียกว่า อัตถิภาวนิยมเป็นปรัชญาที่มีความเชื่อในการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์ที่ไม่แน่นอนและเชื่อว่าความรู้เกี่ยวกับ
3.1.3 รากฐานทางสังคม
3.2 หลักการและวิธีการในการวางหลักสูตร
3.2.2 หลักในการเลือกวิชา
3.2.2.1 หลักในการลำดับขั้นตอนของเนื้อหาวิชา
3.2.2.2 หลักในการกำหนดเวลาเรียน
3.2.2.3 หลักในการวางหลักสูตร
สรุปการศึกษาค้นคว้า เรื่อง ทฤษฎีหลักสูตร
2.1 ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตร
2.2 ทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร
1.) ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตร (Design theories)
2. ทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร (Engineering theories)
1.พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ (Historical foundation) อิทธิพลขอพื้นฐานดังกล่าวมี 2 ลักษณะ
2.พื้นฐานทางปรัชญา (Philosophical foundation) ปรัชญามีส่วนในการสร้างหลักสูตร เนื่องจากปรัชญามีส่วนในการช่วยกำหนดจุดประสงค์และการจัดการสอน ซึ่งมีแนวปรัชญาต่างๆ มากมาย
3. พื้นฐานจากสังคม (Sociogical foundation) หลักสูตรได้รับอิทธิพลจากสังคมมากที่สุด สมาชิกในสังคมเป็นผู้สร้างและพัฒนาโรงเรียน รากฐานทางสังคมที่มีต่อการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตรและการเปลี่ยนแปลงของสังคมก็มีผลทำให้หลักสูตรต้องเปลี่ยนแปลงด้วย
4. พื้นฐานจากจิตวิทยา (Psychologial foundation) จิตวิทยามีส่วนสำคัญต่อการสร้างหลักสูตรและการสอน โดยเฉพาะจิตวิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการเรียนรู้
4.1 จิตวิทยาพัฒนาการ การที่จะช่วยให้แต่ละบุคคลมีพัฒนาการที่เหมาะสมที่ใช้เป็นแนวทางในการวางแผนหลักสูตร ได้แก่ พื้นฐานทางชีววิทยาของความแตกต่างระหว่างบุคคล วุฒิภาวะทางกาย พัฒนาการ และ สัมฤทธิ์ผลทางสติปัญญา พัฒนาการทางด้านอารมณ์ และ พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งผลการวิจัยของนักทฤษฎีพัฒนาการHevighurst development theory กล่าวว่า งานพัฒนาการแต่ละวัยนั้น ถ้าหากประสบความสำเร็จในการพัฒนาในงานใด ก็จะทำให้มีความสุขและส่งผลต่อความสำเร็จในงานต่างๆ มาก ทฤษฎีพัฒนาการ Erikson’s psychosocialtheory ที่เชื่อว่าพัฒนาการแต่ละชั้นถ้าได้รับการส่งเสริมตามต้องการจะเกิดความพึงพอใจและมั่นใจ สามารถพัฒนาการขั้นตอนต่อไปได้อย่างสมบูรณ์เป็นผลให้มีบุคลิกภาพดี แต่ถ้าขั้นใดไม่ได้รับการส่งเสริมจะเกิดความคับข้องใจเกิดความไม่พึงพอใจและเป็นผลเสียต่อบุคลิกภาพ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา Cognitive development theory ที่เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กตั้งแต่แรกเกิด จนกระทั่งถึงวัยที่มีสติปัญญาอย่างสมบูรณ์
4.2 จิตวิทยาการเรียนรู้ ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้เป็นพื้นฐานสำคัญของเนื้อหาหลักสูตรและกิจกรรมการสอน ทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่
5. พื้นฐานจากวิชาการความรู้ต่างๆ (Disciplines of knowledge foundations) ความรู้ของวิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆ รวมทั้งความรู้ทางอาชีพ เป็นรากฐานของการเรียนรู้ของผู้เรียน การสร้างหลักสูตรจึงต้องมุ่งให้ผู้เรียนมีความเข้าใจมโนทัศน์ (Concept) และวิธีการของวิชานั้นๆ
ทฤษฎีหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
ทฤษฎีหลักสูตรสามารถแบ่งได้เป็น
2 กลุ่มใหญ่ๆ
ประกอบด้วยทฤษฎีการออกแบบหลักสูตร(curriculumdesign)และทฤษฎีวิศวกรรหลักสูตร(curriculum engineering) ซึ่งเป็นสาขาวิชาย่อยของสาขาวิชาศึกษาศาสตร์
โดยสาขาวิชาศึกษาศาสตร์มีที่มาจากการจัดกลุ่มความรู้ 3 กลุ่มหลัก คือ
1.วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (the
natural sciences)
2.สังคมศาสตร์
(the social sciences)
3.มนุษย์ศาสตร์(thehumanities)โดยที่สาขาวิชาต่างๆมีที่มาจากความรู้ทั้งสามกลุ่มอาทิแพทย์ศาสตร์วิศวกรรมศาสตร์
สถาปัตยกรรมศาสตร์รวมถึงศึกษาศาสตร์เป็นต้น
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับทฤษฎีหลักสูตร
2. สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหลักสูตรได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
สาระเนื้อหา(Content)
ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร
การศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาระบบสังคมการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ได้ในชีวิตของผู้เรียนและสามารถนำความรู้ที่ได้รับนั้นไปทำประโยชน์ในด้านต่างๆ
ได้เป็นอย่างดีซึ่งหลักสูตรจัดเป็นหัวใจหลักของการพัฒนาศึกษามีการผสมผสานมโนทัศน์ความคิดรวมยอดเกี่ยวกับแนวทางและความเป็นไปได้ของการจัดการศึกษาที่มีระบบและได้นำทฤษฎีทางการศึกษามาปรับประยุกต์ใช้ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการจัดการศึกษาซึ่งจะสะท้อนคุณค่าของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละสังคมด้วยทฤษฎีหลักสูตรเนื้อหาสาระในบทนี้กล่าวถึงทฤษฎีหลักสูตรการสร้างทฤษฎีหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตรหลักการพัฒนาหลักสูตร
การวางแผนพัฒนาหลักสูตร และกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
1. ทฤษฎีหลักสูตร
1. ทฤษฎีหลักสูตร
ทฤษฎีต่างๆ
เกิดจากข้อเท็จจริงซึ่งค้นพบได้จากการใช้การพิสูจน์และการใช้ข้อสรุปจากกฎที่ตั้งไว้จากการสังเกต
มิใช่อาศัยเหตุและผลและนำมาสรุปไว้เป็นกฎและหลักการ
ทฤษฎีเกี่ยวกับการสังเคราะห์และนำไปสู้การสร้างกฎที่ใช้ได้ทั่วไปมีความเป็นสากล (Universal) สามารถพิสูจน์ทดลองได้ (Testable) และมีส่วนประกอบ
(Element) ที่เหมือนกันทฤษฎีทำหน้าที่อธิบายและความหมายเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานที่มีระเบียบแบบแผนนำไปสู่การคาดคะเนข้อมูลได้โดยอิงหลักฐานเชิงประจักษ์และนำไปสู้การยืนยันว่าทฤษฎีที่ตั้งขึ้นมีความถูกต้องและน่าจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
Smith and others (1957)
มีความเชื่อว่าทฤษฎีหลักสูตรจะช่วยสร้างและให้เหตุผลที่สนับสนุนทางการศึกษา
เพื่อประกอบการเลือกและจัดหาเนื้อหาที่ต่างกันของผู้เรียน
นักพัฒนาหลักสูตรจึงได้นำทฤษฎีหลักสูตรมาใช้โดยการผสมผสานทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเข้ามาไว้ด้วยกันกำหนดขึ้นเพื่อการนำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรทฤษฎีหลักสูตรจึงเป็นการพิจารณาความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ที่สามารถนำมาปรับใช้การวางแผนและพัฒนาหลักสูตรรวมถึงการจัดและแยกประเภทของเหตุการณ์ต่างๆและโยงความสัมพันธ์กับเหตุการณ์พิจารณาโครงสร้างและเนื้อหาวิชาที่เหมาะสมนำมาบรรจุไว้ในหลักสูตรคำนึงถึงความสอดคล้องตามสภาพการณ์ต่างๆทั้งในส่วนของผู้เรียนและในส่วนของสังคม
(Kelly.1995)
Beauchamp (1981) ได้สรุปว่าทฤษฎีเป็นข้อความที่ช่วยขยายขอบเขตความรู้ของมนุษย์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นเป็นเครื่องมือของมนุษย์ซึ่งใช้ในการทำนายและคาดการณ์สิ่งต่างๆที่ยังไม่เกิดขึ้นทำให้มนุษย์สามารถควบคุมปรากฏการณ์หรือป้องกันแก้ไขเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษย์ชาติในที่สุดทฤษฎีหลักสูตรจึงเป็นการผสมผสานข้อความเพื่อให้ความหมายซึ่งนำไปปฏิบัติในโรงเรียน
โดยการชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบและการชี้แนะให้เห็นวิธีการพัฒนา
ทฤษฎีหลักสูตรเป็นคำอธิบายสิ่งต่างๆเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรการสร้างหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรการประเมินผลหลักสูตรและการนำผลที่ได้รับจากการประเมินผลมาปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร
(Kelly.2009) โดยเน้นการบรรยายถึงสิ่งต่างๆที่แสดงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างจุดมุ่งหมายกับเนื้อหาวิชาระหว่างเนื้อหาวิชาและโครงสร้างของหลักสูตรทั้งหมดปรัชญาต่างๆที่มีอิทธิพลต่อการวางจุดมุ่งหมายสภาพความจริงในสังคม
และบทบาทของการศึกษาในสังคม(Gardner and others.2000)
โดยสภาพความจริงแล้วทฤษฎีและปฏิบัติมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดทฤษฎีจะอธิบายให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่างๆซึ่งการปฏิบัติจะดำเนินการอยู่ภายในขอบเขตของทฤษฎีที่กล่าวไว้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทฤษฎีจะเป็นสิ่งที่กำหนดแนวทางของการปฏิบัตินั้นเองโดยเหตุนี้ทฤษฎีจึงเป็นของคู่กันและจะต้องไปด้วยกันในการสนับสนุนการปฏิบัติงานให้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมาย
ความหมายของทฤษฎี
ก่อนอื่นคงจะต้องทำความเข้าใจคำว่า“ทฤษฎี”คืออะไร
ความหมายที่เฮอร์เบอร์ท
ไฟเจล(Herbert Feigl อ้างจาก เจริญผล สุวรรณโชติ 2530
: 4) กล่าวไว้ คือ“ทฤษฎี คือการกำหนดข้อสันนิษฐานซึ่งได้รับมาจากวิธีการของตรรกวิทยาคณิตศาสตร์ ทำให้เกิดกฏเกณฑ์ที่ได้มาจากการทดลองและการทดลองไม่ใช่เกิดมาจากการเรียนรู้จากที่หนึ่งที่ใด”
หรือ ทฤษฎีในความหมายของโลแกนและโอเลมสเตด(Logan
and Olmstead อ้างถึง สันต์
ธรรมบำรุง 2527 : 97) ได้ให้ความหมายว่า “ทฤษฎีหมายถึงข้อความหนึ่งข้อความใดที่กำหนดไว้อย่างมีเหตุผลเชื่อถือได้
และได้มีการถกเถียงกันมาก่อนก่อนที่จะลงความเห็นว่าสมควรที่จะกำหนดเรียนว่า“ทฤษฎี”
หรือ ทฤษฎีในความหมายของเฟรด
เคสลินเกอร์(Fred N. Keslinger อ้างถึง : สันต์ ธรรมบำรุง ,
2527 : 97) “ทฤษฎี คือ การผสมผสานของความคิดรวบยอดที่แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ที่มีระบบและเกิดความจริงจนสามารถพิสูจน์ได้”
เกิดขึ้นมาจากการคิดค้นเพื่อหาข้อเท็จจริงบางประการตามความต้องการของผู้คิดค้นที่ได้ตั้งสมมติฐานหรือข้อสันนิษฐานตามแนวเชื่อของตนเองว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาจะต้องเป็นไปในทำนองเช่นนั้นจากนั้นก็ทดลองทำหรือดำเนินการตามสิ่งที่ตั้งข้อสันนิษฐานไว้แล้วและเริ่มสังเกตผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำโดยละเอียดแล้วนำผลที่เกิดนั้นมาประมวลผสมผสานเข้ากับแนวความคิด
และเมื่อกระทำซ้ำกันหลายหนจนเกิดความแน่นใจและได้ผลเช่นเดิมมุกครั้งจึงนำมาเขียนเป็นข้อกำหนดเป็นทฤษฎี
2.ลักษณะของทฤษฎี
2.1 ทฤษฎีไม่ใช่เป็นเรื่องราวของคุณธรรม
2.2 ทฤษฎีไม่ใช่ปรัชญา
2.3 ทฤษฎีไม่ใช่ความฝัน
2.4 ทฤษฎีไม่ใช่กิจการกระทำของบุคคล
2.5 ทฤษฎีไม่ใช่การแบ่งแยกประเภท
3.การกำหนดทฤษฎีหลักสูตร
3.1 รากฐานในการวางหลักสูตร
ในการกำหนดรากฐานในการวางหลักสูตรจะประกอบด้วยรากฐานที่สำคัญทั้งหมด3 รากฐาน คือ
3.1.1 รากฐานทางด้านจิตวิทยา
3.1.1.1 ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการพัฒนาของมนุษย์
มนุษย์มีการพัฒนาทางด้านกายภาพตามลำดับตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิจนกระทั่งถึงวัยชราสำหรับแฮวิกเอิร์สนักการศึกษาที่สำคัญคนหนึ่งที่ได้ศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ด้วยการยึดแนวคิดของอีริกสัน
ได้แบ่งช่วงมนุษย์ออกเป็น6 ช่วงอายุด้วยกัน คือ
(1) วัยทารกและวัยเด็กเล็ก นับอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี
วัยเด็กเล็กเริ่มจัดการศึกษาอย่างมีระบบตั้งแต่อายุ3-6ปี การพัฒนาของร่างกายสติปัญญาอารมณ์
สังคม และจิตใจ เป็นอย่างรวดเร็ว
เด็กวัยนี้มีความสามารถในการจดจำสิ่งต่างๆได้ด้วยการกระทำซ้ำๆ ด้วยอารมณ์สนุกสนาน
การจัดการศึกษาของเด็กในวัยนี้ไม่ใช่เพื่อการเสริมสร้างสติปัญญาและถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็ก
แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ชีวิตให้กับเขาเหล่านั้น
(2) วัยเด็กกลางเริ่มตั้งแต่อายุ 6-12 ปี
วัยนี้เป็นวัยที่ได้รับการศึกษาในระดับประถมศึกษาเด็กวัยนี้เริ่มมีความพร้อมในด้านร่างกายแขนสายตาการจัดการศึกษาในเด็กวัยนี้จะต้องมุ่งเน้นด้านการพัฒนาด้านลักษณะนิสัย
ทักษะในชีวิตด้านการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมด้านเพศศึกษาการดำรงชีวิตชีวิตประจำวันและพัฒนาด้านสรีรร่างกาย
(3) วัยรุ่น อายุระหว่าง 12-18 ปี
วัยเด็กตอนปลายหรือวัยรุ่นวัยนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนามนุษย์อย่างที่สุดสำหรับการจัดการศึกษาในฐานะที่เด็กเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อวัตถุประสงค์
2 ประการ คือการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองเข้าสู่งานอาชีพและการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองให้รู้จักเลือกอาชีพที่จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพของตนเอง
(4) วัยผู้ใหญ่ตอนต้น อายุระหว่าง 18-30 ปี
(5) วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง อายุระหว่าง 30-60 ปี
(6) วัยผู้ใหญ่ตอนปลาย อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
3.1.1.2 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา
(1) ทฤษฎีการวางเงื่อนไข(Conditioning)
หรือทฤษฎีพฤติกรรม(Behaviorism)ทฤษฎีการวางเงื่อนไขถึงแม้จะเป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นมานานแล้วพอสมควรคือหลังคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ตามแต่ทฤษฎีนี้ก็มีนักการศึกษาและนักจิตวิทยายอมรับและนำมาใช้กับการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาหลักสูตรจนถึงปัจจุบันทฤษฎีการวางเงื่อนไขเป็นบ่อเกิดของทฤษฎีย่อยที่สำคัญคือทฤษฎีเชื่อมโยงและการตอบสนองของธอร์นไดค์
หรือทฤษฎีพฤติกรรม(Behaviorism)ทฤษฎีการวางเงื่อนไขถึงแม้จะเป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นมานานแล้วพอสมควรคือหลังคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็ตามแต่ทฤษฎีนี้ก็มีนักการศึกษาและนักจิตวิทยายอมรับและนำมาใช้กับการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาหลักสูตรจนถึงปัจจุบันทฤษฎีการวางเงื่อนไขเป็นบ่อเกิดของทฤษฎีย่อยที่สำคัญคือทฤษฎีเชื่อมโยงและการตอบสนองของธอร์นไดค์
สำหรับนักจิตวิทยาและนักการศึกษาที่วงการศึกษาของไทยนำมาใช้มากที่สุดในปัจจุบันคือ
สกินเนอร์ ซึ่งเป็นผู้กำหนดทฤษฎีการวางเงื่อนไขซึ่งมีหลักการปฏิบัติดังนี้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใดจะต้องใช้เครื่องเสริมแรงเข้ามาช่วยเพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมนั้น
(2) ทฤษฎีสติปัญญา(Cognitive
Theory)
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญาที่ใช้กันมากในปัจจุบัน
คือ
1) ทฤษฎีเกสตอล์ท(Gestalt
Theory) ถือว่าความสำคัญของส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย
การจัดการศึกษาของทฤษฎีเกสตอล์ท
จึงมีลักษณะการสอนจากส่วนรวมให้เห็นความสำคัญของวิชาต่างๆในลักษณะรวมแล้วจึงแยกรายละเอียดออกเป็นส่วนย่อยๆ
2) ทฤษฎีสนาม(Lewin’s
Field Theory) เป็นทฤษฎีที่คำนึงถึงตัวบุคคลกับสิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา
ซึ่งทั้งสองจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อกันและจะขยายตัวออกไปสู่วงจรของชีวิตที่กว้างขวาง
ทฤษฎีสติปัญญาในยุคหลังๆได้มีนักจิตวิยารุ่นใหม่หลายคนที่ได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังและกว้างขวาง
เช่น เพียเจตและบรูนเนอร์ทั้งสองคนนี้ได้กล่าวโดยสาระสำคัญดังนี้
เพียเจตได้กำหนดว่าสติปัญญาของมนุษย์อาจจะแบ่งได้เป็น
4 ขั้นด้วยกันแต่ละขั้นตอนจะกำหนดอายุโดยประมาณเท่าๆกันแต่การพัฒนาสติปัญญาของแต่ละคนจะไม่เท่ากันอาจจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วหรือย่างช้าทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการเช่นปัจจัยทางพันธุกรรมปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
บรูนเนอร์ ได้แบ่งการพัฒนาสติปัญญาของผู้เรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ออกเป็น
3 แบบกล่าวคือ
- การเรียนรู้ด้วยการกระทำบรูนเนอร์ได้พัฒนาทฤษฎีให้เป็นขั้นตอนยิ่งขึ้นด้วยการเน้นให้เห็นว่าการเรียนรู้ด้วยการกระทำนั้นเป็นขั้นที่การเรียนรู้ที่เกิดจากประสาทสัมผัสด้วยกันทั้งสิ้นการเรียนในขั้นนี้จึงเป็นการเรียนในขั้นเด็กเล็ก
- การเรียนรู้ด้วยการมองดูคำว่ามองดูในที่นี้ไม่ใช่เป็นการมองดูด้วยตาตามความหมายของการมองดูแต่มีความหมายถึงการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนได้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้และสามารถจำแนกสิ่งต่างๆได้อย่างมีเหตุผล
- การเรียนรู้ด้วยการใช้สื่อทางสัญลักษณ์
3.1.2 รากฐานทางปรัชญา
3.1.2.1 จิตนิยม(Idealism) เป็นปรัชญาที่ยึดถือเรื่องจิตใจเป็นสำคัญถ้าหากมนุษย์ไม่มีจิตแล้วการรับรู้ต่างๆก็ไม่เกิดจิตจะเป็นประสาทสัมผัสที่สำคัญในการรับรู้เรื่องราวต่างๆและนำมาพิจารณาให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วยการอาศัยจิตเป็นผู้พิจารณาจุดมุ่งหมายของการศึกษาในลัทธิจิตนิยมจึงเน้นการฝึกจิตจึงเน้นที่ตัวครูคือ
เน้นคุณภาพและประสบการณ์ของครูในด้านหลักสูตร
3.1.2.2 สัจจนิยม(Realism) เป็นปรัชญาที่เน้นวัตถุธรรม มีความเชื่อว่าความจริงหรือความรู้เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ ดังนั้น การที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ก็จะต้องทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งแบ่งเป็น 2 พวก คือ เน้นด้านเหตุผล ซึ่งจะนำเอาตรรกวิทยามาเกี่ยวข้อง อีกพวกคือ ธรรมชาตินิยม พวกนี้เชื่อว่าสิ่งต่างๆย่อมมีจริงอยู่ในธรรมชาติ
3.1.2.3 ปฏิบัตินิยม(Pragmatism) เป็นปรัชญาที่มุ่งเน้นพิจารณาด้านการนำไปปฏิบัติ มีอยู่ 3 อย่างด้วยกันคือ
1) Experimentalism ถือเอาการทดลองแล้วนำไปปฏิบัติแล้วทำให้เกิดผลดีเป็นสำคัญ
2) Instrumentalism ถือเอาการใช้เครื่องมือประกอบทำให้เกิดการกระทำที่แสดงออกมาเป็นสำคัญ
3) Progressive ถือการเรียนรู้ต้องอาศัยประสบการณ์
3.1.2.4 ภววาทนิยม(Existentialism) หรือบางครั้งเรียกว่า อัตถิภาวนิยมเป็นปรัชญาที่มีความเชื่อในการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์ที่ไม่แน่นอนและเชื่อว่าความรู้เกี่ยวกับ
จริยศาสตร์ควรเป็นเรื่องสมัครใจและความเป็นอิสระในการปฏิบัติและเชื่อถือ
3.1.3 รากฐานทางสังคม
การจัดการศึกษาทุกระดับเป็นการจัดการศึกษาให้กับมนุษย์ในแต่ละวัยและแต่ละบุคคลที่ต้องการรับการศึกษาเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมมนุษย์สังคมจึงมีส่วนสัมพันธ์และมีความหมายต่อการจัดการศึกษาเป็นอันมากในเมือการวางหลักสูตรเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อระบบการจัดการศึกษาของแต่ละหมู่พวกการจัดวางหลักสูตรจึงต้องตอบสนองและสอดคล้องกับความต้องการของสังคมการศึกษาจึงจะมีผลกระทบต่อสังคมโดยตรงในหลายๆด้านในขณะเดียวกันสังคมในทุกๆด้านก็มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษา
3.2 หลักการและวิธีการในการวางหลักสูตร
3.2.1 หลักในการเลือกเนื้อหาวิชา
3.2.2 หลักในการเลือกวิชา
การเลือกวิชา
หมายถึง การกำหนดเนื้อหาวิชา(Subject Matter) เป็นรายการหรือเนื้อความหรือรายละเอียดวิชาที่มีอยู่ในวิชา
หลักในการเลือกวิชา มีดังนี้
3.2.2.1 หลักในการลำดับขั้นตอนของเนื้อหาวิชา
แนวทางในการกำหนดหลักการและวิธีการในการเรียงลำดับขั้นตอนของเนื้อหาวิชาที่เหมาะสมมีดังนี้
1) จัดตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการของผู้เรียน
2) จัดตามความยากง่ายของเนื้อหาวิชา
3) จัดตามการเปลี่ยนแปลงจุดประสงค์ของการศึกษา
3.2.2.2 หลักในการกำหนดเวลาเรียน
3.2.2.3 หลักในการวางหลักสูตร
ชูศรี
สุวรรณโชติ.(2554).หลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อักษรไทย.
ทฤษฎีหลักสูตร( Curriculum
Theories) [ค้นหาจากอินเทอร์เนต]
การวางแผนพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องอาศัยความเชื่อและทฤษฎีต่างๆทางการศึกษาซึ่งมีนักการศึกษาได้กำหนดไว้หลายแนว
ดังนี้
1. หลักสูตรเป็นวิชาและเนื้อหาวิชาผู้มองหลักสูตรในแนวนี้คือผู้ที่ยึดลัทธิสัจนิยม(Perennialism)
และสาระนิยม (Essentialism) ตลอดจนผู้ที่ถือว่าการศึกษาคือการฝึกวินัยทางจิต
(Mental Discipline) ซึ่งเห็นว่าหลักสูตรในโรงเรียนควรประกอบด้วยวิชาที่สำคัญที่จะธำรงไว้ซึ่งคุณลักษณะแห่งความเป็นมนุษย์และเป็นการฝึกสมองเช่นที่ยากๆ
โดยเฉพาะการศึกษาโครงสร้างของวิชาต่างๆที่จัดเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจนเช่นโครงสร้างของวิชาคณิตศาสตร์เป็นตรรกศาสตร์โดยเฉพาะการหาเหตุผลแบบอนุมานข้อสังเกตสำหรับการกำหนดหลักสูตรในแนวนี้คือไม่ได้ให้ความสนใจและความสำคัญในผู้เรียน(ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาหลักสูตร)
2. หลักสูตรเป็นประสบการณ์ยึดลัทธิก้าวหน้านิยม
(Progressivism) โดยเชื่อว่าวัฒนธรรมคือ สิ่งแวดล้อมของสังคมคนจะต้องยอมรับสภาพของสังคมและปรับสภาพสังคมให้ดีขึ้นจึงยึดหลักนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
(child centered) โดยดูความสนใจของผู้เรียนเป็นหลักในการสอนและการจัดประสบการณ์ให้เขาหลักสูตรจึงหมายถึงประสบการณ์ทั้งมวลที่นักเรียนพึงจะได้รับภายใต้การนำของครู
3. หลักสูตรเป็นจุดประสงค์ถือว่าการสอนเป็นหนทางอย่างหนึ่งที่จำนำไปสู่จุดประสงค์ที่กำหนด
4. หลักสูตรเป็นแผนการหลักสูตรคือแผนการที่จะนำไปสู่การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดจากความตั้งใจและคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าโดยเพ่งเล็งไปที่จุดมุ่งหมายของการศึกษารวมถึงการจัดวางหลักสูตรการนำหลักสูตรไปใช้ในด้านการปฏิบัติ
คือ การสอน และการประเมินผลหลักสูตรเพื่อให้เหมาะกับสภาพท้องถิ่น
5. หลักสูตรเป็นระบบการผลิตมองการให้การศึกษาเช่นเดียวกับระบบการผลิตสินค้า
โดยคำนึงถึงทุนที่ได้ลงไปกับผลที่ตามออกมาจึงพยายามทำหลักสูตรให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด
เช่น เขียนในรูปจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมมีการวิเคราะห์งานวิเคราะห์กิจกรรมดังเช่น
หลักสูตรระดับมัธยมศึกษาพ.ศ.2521
นอกจากทฤษฎีที่กล่าวมาแล้วยังมีทฤษฎีที่สำคัญที่เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ.2544 และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ.2551
ประกอบด้วย
1.ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความสุข
2.ทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
3.ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด
4.ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสุนทรียภาพและลักษณะนิสัย
วชิราภรณ์ อำไพ.2556.ทฤษฎีหลักสูตร.เข้าถึงได้จาก
: https://sites.google.com/site/wachirapornampai/thvsdi-hlaksutr.1กรกฎาคม 2556.
สรุปการศึกษาค้นคว้า เรื่อง ทฤษฎีหลักสูตร
ทฤษฎีหลักสูตรจะช่วยให้การบริหารงานเกี่ยวกับหลักสูตรมีคุณค่ามีหลักเกณฑ์มีหลักการมีระบบมากยิ่งขึ้น
เช่น การสร้างหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตรการใช้หลักสูตรการประเมินหลักสูตร การจัดบุคลากรเกี่ยวกับหลักสูตรและการทำให้องค์ประกอบของหลักสูตรที่จะนำไปใช้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในหัวข้อต่อไปนี้
1. ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตร(Actors)
1.1 นักวางแผนหลักสูตร
1.2 ครู
1.3 ผู้เรียน
1.4 ผู้บริหาร
1.5 ผู้นิเทศการศึกษา
1.6 บุคคลที่สนใจทั่วไป
2. หลักสูตร(Artifact)
2.1 เนื้อหา
2.2 วัสดุประกอบการสอน
2.3 เครื่องอำนวยความสะดวก
2.4 วิธีสอน
3. การปฏิบัติ(Operation)
3.1 การนำหลักสูตรไปใช้
3.2 การประเมินหลักสูตร
สันต์
ธรรมบำรุง.(2527).หลักสูตรและการบริหารหลักสูตร.กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์การศาสนา.
สรุปแล้วจากการที่ผมนายสมพงศ์
สินศาสตร์ได้สืบค้นทั้งในหนังสือและในอินเทอร์เนตเรื่อง ทฤษฎีหลักสูตรซึ่งในตอนแรกก่อนที่จะอ่านผมเข้าใจว่า”ไม่รู้ทฤษฎีหลักสูตรมีเพื่ออะไร” หลังจากนั้นพอได้ศึกษาและอ่านหลายๆเล่มจึงทำให้รู้ว่าทฤษฎีหลักสูตรมีความสำคัญกับบุคคลหลายฝ่ายเพราะถ้าคนเหล่านั้นรู้และเข้าใจในแต่ละทฤษฎีคงจะทำให้ระบบการศึกษาดีขึ้นซึ่งมีความสำคัญจริงๆสำหรับบุคลากรที่เกี่ยวกับการศึกษา
2. การสร้างทฤษฎีหลักสูตร
Beauchamp (1981:77)
ได้เสนอว่าทฤษฎีหลักสูตรแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือทฤษฎีการออกแบบหลักสูตร (Design theories) และทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร (Engineering theories)
2.1 ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตร(Curriculum
design) หมายถึง
การจัดส่วนประกอบหรือองค์ประกอบของหลักสูตรซึ่งได้แก่ จุดมุ่งหมาย เนื้อหา สาระกิจกรรมการเรียนและการประเมินผล (Zais.1976:16) Herrick and Tyler (1950:41)
ได้เสนอแผนภูมิแสดงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของหลักสูตรดังภาพ 4.1
Taba (1962:422) มีความเห็นว่าส่วนประกอบของหลักสูตรที่จะขาดเสียมิได้ก็คือจุดมุ่งหมายทั่วไปและจุดมุ่งหมายเฉพาะเนื้อหาสาระและประสบการณ์การเรียนรู้และการประเมินผล
Beauchamp (1975:107-109)
ได้สรุปองค์ประกอบสำคัญซึ่งจะต้องเขียนไว้ในเอกสารหลักสูตร 4 ประการ คือเนื้อหาสาระและวิธีการจัดจุดมุ่งหมายทั่วไปและจุดมุ่งหมายเฉพาะแนวทางการนำหลักสูตรไปใช้สู่การเรียนการสอน
และการประเมินผลซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญยิ่งสำหรับหลักสูตร
Zais (1976:431-437) ได้สรุปว่าการออกแบบหลักสูตรประกอบด้วยแนวคิดหลักสูตร 2 แบบคือ หลักสูตรแห่งความหลุดพ้น (Unencapsulation design) และหลักสูตรมนุษยนิยม (Humanistic design) หลักสูตรแห่งความหลุดพ้นมีความเชื่อว่าคนเราจะมีความรู้ความเข้าใจสิ่งต่างๆ 4 ทางได้แก่ความมีเหตุผล (Rationalism) จะนำไปสู่การค้นพบความจริงการสังเกต (Empiricism) รับรู้จากการมองการได้กลิ่น การได้ยิน การได้สัมผัสฯลฯ สัญชาตญาณ (Intuition) ความรู้สึกต่อสิ่งหนึ่งโดยมิได้มีใครบอกกล่าวก็เป็นวิธีหนึ่งที่มนุษย์มีความรู้ในสิ่งต่างๆ
และความเชื่อในสิ่งที่มีอำนาจ (Authoritarianism) เช่น ความเชื่อในทางศาสนา ความเชื่อในสิ่งที่ปราชญ์ผู้รู้ได้กล่าวไว้เป็นต้น ส่วนหลักสูตรมนุษยนิยมก็มีความคล้ายคลึงกับหลักสูตรเพื่อความหลุดพ้นแต่การจัดหลักสูตรแบบนี้จะมุ่งเน้นเนื้อหา
สาระมากกว่ากระบวนการการจัดหลักสูตรจึงยึดเนื้อหาสาระของวิชาเป็นศูนย์กลาง
2.2 ทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร
วิศวกรรมหลักสูตร
(Curriculum engineering) หมายถึงกระบวนการทุกอย่างที่จำเป็นในการทำให้ระบบหลักสูตรเกิดขึ้นในโรงเรียนได้แก่
การสร้างหรือจัดทำหลักสูตร การใช้หลักสูตร
และการประเมินประสิทธิภาพของหลักสูตรและการประเมินระบบหลักสูตร (Beauchamp.1975:108)
หลักสูตรที่มีคุณภาพและสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ถึงผู้เรียนได้มากที่สุดนั้นมีอยู่หลายรูปแบบได้แก่รูปแบบการบริหารรูปแบบการปฏิบัติการรูปแบบการสาธิตรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติและรูปแบบการใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานสำหรับการกำหนดหลักสูตร
ทฤษฎีหลักสูตรจะช่วยในการบริหารงานเกี่ยวกับหลักสูตรมี
หลักเกณฑ์หลักการและระบบมากยิ่งขึ้น เช่น การสร้างหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตรและการประเมินหลักสูตรการจัดบุคลากร เกี่ยวกับหลักสูตร การทำให้องค์ประกอบของหลักสูตรที่จะนำไปใช้ประสิทธิภาพ
ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
โบแชมพ์ (Beauchamp
1981: 77) ได้เสนอว่าทฤษฎีหลักสูตรแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตร (Design theories)
และทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร (Engineering theories)
1.) ทฤษฎีการออกแบบหลักสูตร (Design theories)
การออกแบบหลักสูตร (Curriculum
design) หมายถึง
การจัดส่วนประกอบหรือองค์ประกอบของหลักสูตรซึ่งได้แก่จุดมุ่งหมายเนื้อหาสาระกิจกรรมการเรียนและการประเมินผล
โบแชมพ์ (Beauchamp
1981: 107-109) ได้สรุปองค์ประกอบสำคัญซึ่งจะต้องเขียนไว้ในเอกสารหลักสูตร
4 ประการ คือเนื้อหาสาระและวิธีการจัด
จุดมุ่งหมายทั่วไปและจุดมุ่งหมายเฉพาะแนวทางการนำหลักสูตรไปใช้สู่การเรียนการสอนและการประเมินผลซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญยิ่งสำหรับหลักสูตร
2. ทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร (Engineering theories)
ทฤษฎีวิศวกรรมหลักสูตร(Engineering
theories) หมายถึง
กระบวนการทุกอย่างที่จำเป็นในการทำให้ระบบหลักสูตรเกิดขึ้นในโรงเรียนได้แก่การสร้างหรือจัดทำหลักสูตรกนได้มากที่สุดการใช้หลักสูตรและการประเมินประสิทธิภาพของหลักสูตรและการประเมินระบบหลักสูตรหลักสูตรที่มีคุณภาพและสามารถ
ถ่ายทอดประสบการณ์ถึงผู้เรียนได้มีหลายรูปแบบได้แก่รูปแบบการบริหารรูปแบบการปฏิบัติการรูปแบบการสาธิตรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติและรูปแบบการใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานสำหรับการกำหนดหลักสูตร
ทฤษฏีหลักสูตรจะช่วยในการบริหารงานเกี่ยวกับหลักสูตรให้มีหลักเกณฑ์หลักการและระบบมากยิ่งขึ้น
เช่นการสร้างหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตรและการประเมินหลักสูตรการจัดบุคลากรเกี่ยวกับหลักสูตรการทำให้องค์ประกอบของหลักสูตรที่จะนำไปใช้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น
3. การพัฒนาหลักสูตร
3. การพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรเกี่ยวข้องกับการพิจารณาและการกำหนดเป้าหมายว่าหลักสูตรที่จัดทำนั้นมีเป้าหมายเพื่ออะไร
ทั้งโดยส่วนรวมและส่วนย่อยของหลักสูตรนั้นๆ อย่างชัดเจนการคัดเลือกกิจกรรม
วัสดุประกอบการเรียนการสอน การเลือกสรรเนื้อหาสาระ กิจกรรมทั้งในทั้งนอก ห้องเรียน
การกำหนดระบบการจัดวัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนที่เหมาะสมแต่ละวิชาและแต่ละชั้นเรียน
การพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการหรือขั้นตอนของการตัดสินใจเลือกหาทางเลือก
การเรียนการสอนที่เหมาะสม หรือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมต่างๆ
เข้าด้วยกันจนเป็นระบบที่สามารถปฏิบัติได้
นักพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงถึงภูมิหลักขององค์ประกอบต่างๆ อย่างละเอียด
และรอบคอบก่อน ตัดสินใจเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง
และเมื่อตัดสินใจเลือกแล้วก็ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ
การพัฒนาหลักสูตรมีข้อควรคำนึงหลายประการที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องหาคำตอบ
เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจจัดทำหลักสูตร Tyler (1949) ได้กล่าวถึงแนวคิดการพัฒนาหลักสูตร ดังนี้
1.
จุดมุ่งหมายการศึกษาของโรงเรียน คืออะไร?
2.การที่จะบรรลุจุดมุ่งหมายของการศึกษาของโรงเรียนนั้น
ต้องใช้ประสบการณ์การศึกษาอะไร?
3.
ประสบการณ์การศึกษาดังกล่าวจะจัดอย่างไร?
4.
คุณภาพของหลักสูตรได้มาอย่างไร?
สำราญ คงชะวัน (2456:
13-14) ได้สรุปว่าการพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการวางแผนและพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ต่างๆ
ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียน การเลือกจุดมุ่งหมายเนื้อหาวิชา
กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ ตลอดจนการวัดผลประเมินผล
เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดต่อผู้เรียน (Marsh
and Willis. 1995:129)
การพัฒนาหลักสูตรเป็นสิ่งที่สามารถดำเนินการได้ระยะเวลา
ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปตามความหมายเหมาะสมโดยอาจปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น
หรือสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่โดยที่ยังไม่เคยมีหลักสูตรนั้นมาก่อนก็ได้
ซึ่งผู้พัฒนาสามารถดำเนินการได้ทุกระยะเวลา
และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามความเหมาะสม
และกระบวนการวางแผนและพัฒนาประสบการณ์ในการเรียนรู้จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียน
บุญชม ศรีสะอาด (2546:
21-46) ได้กล่าวถึงแนวคิดพื้นฐานของการพัฒนาหลักสูตรว่าต้องอาศัยพื้นฐานที่สำคัญ
5ประการ ดังนี้
1.พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ (Historical foundation) อิทธิพลขอพื้นฐานดังกล่าวมี 2 ลักษณะ
-หลักสูตรที่พัฒนามีความรู้ผลการค้นพบ
และแนวปฏิบัติที่เคยมีมาในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร
- ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการจัดการศึกษาในอดีตเป็นบทเรียนในการสร้างหลักสูตรใหม่
2.พื้นฐานทางปรัชญา (Philosophical foundation) ปรัชญามีส่วนในการสร้างหลักสูตร เนื่องจากปรัชญามีส่วนในการช่วยกำหนดจุดประสงค์และการจัดการสอน ซึ่งมีแนวปรัชญาต่างๆ มากมาย
- ปรัชญาสารัตถะนิยม (Essentialism) เชื่อว่าแต่ละวัฒนธรรมมีความรู้ ความเชื่อ ทักษะ อุดมการณ์ที่เป็นแกนกลาง
หลักสูตรที่จัดตามแนวนี้ได้แก่ หลักสูตรแบบเนื้อหาวิชา (Subject
curriculum) และแบบสหสัมพันธ์ (Broadfields curriculum)
- ปรัชญาสัจนิยม (Perenialism) เชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือความสามารถในการใช้ความคิด
ความสามารถในการใช้ความคิด ความสามารถในการใช้เหตุผล การตัดสินแยกแยะ
และความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า การจัดหลักสูตรจึงเน้นความสำคัญของวิชาพื้นฐานได้แก่
การอ่าน เขียน และการคิดคำนวณ
- ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) เชื่อว่าผู้เรียนจะเรียนรู้ได้โดยอาศัยประสบการณ์ ผู้สอนแบบประสบการณ์หรือกิจกรรม
(Experience or activitycurriculum)
- ปรัชญาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) เน้นเรื่องชีวิตและสังคม ได้แก่ หลักสูตรที่ยึดหลักสังคมและการดำรงชีวิต (Social
process and life function curriculum) และหลักสูตรแบบแกน (Core
curriculum)
- ปรัชญาสวภาพนิยม (Existentialism) เชื่อว่าแต่ละคนกำหนดของชีวิตของตนเองได้แก่ หลักสูตรแบบเอกัตภาพ (individualized) เน้นการให้เสรีแก่ผู้เรียนมากที่สุด
3. พื้นฐานจากสังคม (Sociogical foundation) หลักสูตรได้รับอิทธิพลจากสังคมมากที่สุด สมาชิกในสังคมเป็นผู้สร้างและพัฒนาโรงเรียน รากฐานทางสังคมที่มีต่อการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตรและการเปลี่ยนแปลงของสังคมก็มีผลทำให้หลักสูตรต้องเปลี่ยนแปลงด้วย
4. พื้นฐานจากจิตวิทยา (Psychologial foundation) จิตวิทยามีส่วนสำคัญต่อการสร้างหลักสูตรและการสอน โดยเฉพาะจิตวิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการเรียนรู้
4.1 จิตวิทยาพัฒนาการ การที่จะช่วยให้แต่ละบุคคลมีพัฒนาการที่เหมาะสมที่ใช้เป็นแนวทางในการวางแผนหลักสูตร ได้แก่ พื้นฐานทางชีววิทยาของความแตกต่างระหว่างบุคคล วุฒิภาวะทางกาย พัฒนาการ และ สัมฤทธิ์ผลทางสติปัญญา พัฒนาการทางด้านอารมณ์ และ พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งผลการวิจัยของนักทฤษฎีพัฒนาการHevighurst development theory กล่าวว่า งานพัฒนาการแต่ละวัยนั้น ถ้าหากประสบความสำเร็จในการพัฒนาในงานใด ก็จะทำให้มีความสุขและส่งผลต่อความสำเร็จในงานต่างๆ มาก ทฤษฎีพัฒนาการ Erikson’s psychosocialtheory ที่เชื่อว่าพัฒนาการแต่ละชั้นถ้าได้รับการส่งเสริมตามต้องการจะเกิดความพึงพอใจและมั่นใจ สามารถพัฒนาการขั้นตอนต่อไปได้อย่างสมบูรณ์เป็นผลให้มีบุคลิกภาพดี แต่ถ้าขั้นใดไม่ได้รับการส่งเสริมจะเกิดความคับข้องใจเกิดความไม่พึงพอใจและเป็นผลเสียต่อบุคลิกภาพ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา Cognitive development theory ที่เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กตั้งแต่แรกเกิด จนกระทั่งถึงวัยที่มีสติปัญญาอย่างสมบูรณ์
4.2 จิตวิทยาการเรียนรู้ ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้เป็นพื้นฐานสำคัญของเนื้อหาหลักสูตรและกิจกรรมการสอน ทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่
- ทฤษฎีที่เน้นการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
(S-Rcondition) ได้แก่ ทฤษฎีการเสริมแรง
และทฤษฎีเงื่อนไข นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้แก่ Pavlov Thorndike และ Skinner
- ทฤษฎีสนาม (Field theory) แนวคิดของทฤษฎีนี้คือ ส่วนรวมทั้งหมดเป็นสิ่งสำคัญมากจะต้องมาก่อนส่วนย่อย
ทฤษฎีที่สำคัญของกลุ่มนี้คือ ทฤษฎีพุทธินิยม และทฤษฎีมนุษย์นิยม
- ทฤษฎีผสมผสาน (lntegrated
theory) มีแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญคือ
การศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้
การผสมผสานระหว่างทฤษฎีเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับการตอบสนองและทฤษฎีสนาม
- ทฤษฎีการเรียนรู้ในโรงเรียนของ Bloom เป็นทฤษฏีที่เน้นพื้นฐานเดิมของผู้เรียน และคุณลักษณะของแต่ละคน
5. พื้นฐานจากวิชาการความรู้ต่างๆ (Disciplines of knowledge foundations) ความรู้ของวิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆ รวมทั้งความรู้ทางอาชีพ เป็นรากฐานของการเรียนรู้ของผู้เรียน การสร้างหลักสูตรจึงต้องมุ่งให้ผู้เรียนมีความเข้าใจมโนทัศน์ (Concept) และวิธีการของวิชานั้นๆ
นักวิทยาการด้านหลักสูตรหลายท่านได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรไว้หลายรูปแบบแตกต่างกัน
ซึ่งรูปแยกการพัฒนาหลักสูตรแต่ละรูปแบบ ไม่ว่าเป็นการพัฒนาหลักสูตรใหม่หรือการนำหลักสูตรเก่ามาพัฒนา
ประกอบด้วยขั้นตอนที่คล้ายคลึงกันพอสรุปเป็นขั้นตอน (ยุทธนา
ปฐมวรชาติ. 2545 : 15-18 ; Saylor and Aleylor and Alexander. 1974 : 6) ดังนี้ การออกแบบและการสร้างหลักสูตร
(การกำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร การจัดทำรายละเอียดเนื้อหาสาระการเรียนรู้
การกำหนดแนวทางการจัดประสบการณ์เรียนรู้กำหนดเวลา
(การนำหลักสูตรไปใช้และการประเมินหลักสูตร Tyler (1949
: 1)
ได้กำหนดกระบวนการวางแผนหลักสูตรและให้ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้บังเกิดผลดีต่อผู้เรียน
โดยเสนอแนะว่าสิ่งที่ต้องคำนึงในการวางแผนหลักสูตร
อะไรคือจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่ต้องการให้โรงเรียนหรือสถานศึกษาปฏิบัติ? ทำอย่างไรจึงจัดประสบการณ์การศึกษาให้สอดคล้องกับจุดหมายมุ่งกำหนดไว้? ทำอย่างไรจึงจะจัดการประเมินประสบการณ์การศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ?
Taba (1962 : 345-425) ได้เสนอรูปแบบการวางแผนกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนตามความเชื่อเกี่ยวกับผู้เรียนที่มีพื้นฐานแตกต่างกันโดยกำหนดกระบวนการวางแผนพัฒนาหลักสูตรไว้
7 ขั้นตอนดังนี้
1.การวินิจฉัยความต้องการของผู้เรียน
ต้องเริ่มจากการค้นหาความต้องการของผู้เรียนโดยวิเคราะห์ช่องว่าง
จุดบกพร่องและหลังของผู้เรียน
2.การกำหนดจุดมุ่งหมาย
หลังจากวิเคราะห์หาความต้องการของผู้เรียนแล้ว ผู้วางแผนพัฒนาหลักสูตร
ต้องกำหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการ โดยใช้คำว่าเป้าหมายหรือจุดหมาย
3.การเลือกเนื้อหา เนื้อหาที่กำหนดในแต่ละหัวข้อจะต้องมาจากจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
4.การเรียงลำดับเนื้อหา การเลือกเนื้อหาในแต่ละหัวข้อ
จะต้องตัดสินใจว่าจะจัดลำดับเนื้อหาอย่างไร จึงจะเหมาะสมกับวุฒิภาวะ ความพร้อม
และผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
5.การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้
ผู้วางแผนหลักสูตรจะต้องเลือกหรือกำหนดวิธีการที่จะทำให้ผู้เรียนรู้เนื้อหาที่กำหนดไว้
6.การเรียงลำดับประสบการณ์การเรียนรู้
ผู้พัฒนาหลักสูตรจะต้องหาวิธีการที่จัดและเรียงลำดับให้กิจกรรมการเรียนรู้ผสมกลมกลืนกันอย่างมีประสิทธิภาพ
7. การกำหนดรู้แบบการประเมินผลและแนวทางในการปฏิบัติตามจุดมุ่งหมายซึ่งผู้พัฒนาหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงการบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตรที่พัฒนาขึ้น
รู้แบบการประเมินที่ดี คือ
การที่ครูผู้สอนใช้เทคนิควิธีการหลายวิธีเหมาะกับผู้เรียน
Stenhouse (1975 : 4-5)
ได้เสนอหลักการวางแผนการพัฒนาหลักสูตรไว้ 4 ประการ ดังนี้
1. การเลือกเนื้อหา (Selec
tof cotent) เป็นการคัดเลือกเนื้อหาสาระที่จะใช้ในการจัดการเรียนรู้ในหลักสูตร
2. การกำหนดยุทธวิธีการสอน
(Teaching strategy) เป็นการกำหนดว่าจะทำวิธีการสอนด้วยวิธีใดและมีกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยกระบวนการใด
3. การเรียงลำดับเนื้อหา (Make
decisionse about seqence) เป็นการนำเนื้อหาที่กำหนดในหลักสูตร
มาเรียงลำดับก่อนหลังอย่างเหมาะสมในการจัดการเรียนรู้
4.
การพิจารณาจุดอ่อนจุดแข็งของผู้เรียนรายบุคคลและหลักการที่กำหนดมาแล้ว (Diagnose
the strengths and weakness of individual students and general principles)
ชูศรี สุวรรณโชติ (2542:
97-99) ได้หาแนวคิดกระบวนการวางแผนการพัฒนาหลักสูตรไว้ ดังนี้
1. การศึกษาปัญหาหรือกำหนดปัญหา
เป็นขั้นแรกของการวางแผนเพื่อพัฒนาหลักสูตรซึ่งผู้พัฒนาหลักสูตรต้องรู้ถึงสภาพปัญหาและความต้องการของสังคมในทุกๆ
ด้าน
2. การกำหนดข้อมูลเพื่อให้สอดคล้องกับปัญหา
เป็นสิ่งที่ช่วยในการวางแผนพัฒนาหลักสูตรให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและถูกต้องแน่นนอน
ข้อมูลที่กำหนดจะต้องเป็นข้อมูลที่สนองตอบปัญหาที่ได้รับจากการศึกษา
3. การกำหนดสมมุติฐาน การวางแผนพัฒนาหลักสูตรทุกครั้งต้องกำหนดสมมุติฐานไว้เสมอว่า
หลักสูตรจะต้องพัฒนาจะบังเกิดผลอย่างไรต่อผู้เรียน
สมมุติฐานของการพัฒนาหลักสูตรจะเป็นทางบวกมากกว่าทางลบ
4. การกำหนดแนวทางในการดำเนินงานเป็นขั้นตอนที่ต้องกำหนดการพัฒนาหลักสูตรโดยกำหนดกระบวนการตั้งแต่ต้นจนสำเร็จลุล่วง
ขั้นตอนเหล่านี้ต้องกำหนดเวลาที่แน่นอน
5. การเลือกบุคลากรมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
ผู้กำหนดแผนต้องกำหนดตัวบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นเป็นอย่างดี
4.
การพัฒนาหลักสูตรระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การเรียนการสอนจะดำเนินไปตามวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้บริหารและครูผู้สอนจะต้องรู้ถึงหลักการของหลักสูตรและวิธีใช้
ด้วยการรู้หลักการจะช่วยให้ครูผู้สอน
อ่านหลักสูตรได้เข้าใจและดียิ่งขึ้นหลักสูตรแบ่งตามแบบต่างๆ
1.
หลักสูตรระดับชาติหรือหลักสูตรแม่บท (Nationai level) เป็นหลักสูตรแกนที่เขียนไว้กว้างและบรรจุสาระที่จำเป็นต่อทุกคนในประเทศที่จะต้องเรียนรู้เหมือนกัน
เพื่อเสริมสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไว้
หลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายจึงเน้นเป็นวิชาบังคับให้ทุกคนต้องเรียนการพัฒนา
หลักสูตรระดับชาติ
เป็นหลักสูตรแกนกลางหรือหลักสูตรแม่บทในระดับการศึกษาต่างๆ เช่นหลักสูตรประถมศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาหลักสูตรอาชีวศึกษาเป็นต้นเป็นหลักสูตรที่เขียนไว้กว้างและบรรจุสาระที่จำเป็นที่ทุกคนในประเทศในระดับนั้นต้องเรียนรู้เหมือนกันเพื่อให้บรรลุความมุ่งหมายของการศึกษาการพัฒนาหลักสูตรระดับชาติมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบคือศูนย์พัฒนาหลักสูตรกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ
มีหน้าที่ประสาน 13 งานในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรทุกระดับในการควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการนับตั้งแต่การจัดทำหรือจัดปรับปรุงหลักสูตรจัดทำเอกสารประกอบหลักสูตรเช่นคู่มือครูแผนการสอนหนังสือเรียนหนังสืออ่านประกอบเป็นต้น
2. หลักสูตรระดับชาติมีหน่วยงานที่พัฒนาหลักสูตรคือสูตรพัฒนาหลักสูตรกรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ
ศูนย์นี้มีหน้าที่ประสานงานในการบรับปรุงหลักสูตรทั้งประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
หลักสูตรระดับท้องถิ่น (Local level) เป็นการนำเอาหลักสูตรระดับชาติมาใช้พิจารณาถึงลักษณะของท้องถิ่นเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะพิเศษของแต่ละท้องถิ่นและลักษณะของผู้เรียนและเป็นการเรียนรู้ที่นำไปใช้ในชีวิตจริง
3. หลักสูตรระดับห้องเรียน
(Classroom level) สังคมจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ขึ้นอยู่กับหลักสูตรระดับนี้
ผู้สอนส่วนมากมักเข้าใจผิดมักคิดว่าตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรแต่จริงแล้วผู้สอนนำเอาหลักสูตรระดับชาติและระดับท้องถิ่นมาใช้ให้เหมาะสมและบรรลุจุดมุ่งหมายตามหลักสูตรที่กำหนดไว้
ผู้สอนแต่ละคนในวิชาต่างๆ ก็จะทำให้กระบวนการพัฒนาหลักสูตรเกิดขึ้นทั้งระบบ คือ รู้จักจุดมุ่งหมายการสอนเรื่องวิชานั้นๆ
ว่ามีความหมายความจำเป็นต่อผู้เรียนอย่างไร ทำไมจึงต้องสอน สามารถใช้วิธีการสอน
สื่อการสอน หนังสือเรียน แบบฝึกหัด สามารถวัดผลและประเมินผล
เพื่อพิจารณาพฤติกรรมของผู้เรียนว่าได้เปลี่ยนแปลงไปตามจุดมุ่งหมายหรือไม่
การพัฒนาหลักสูตร
จำเป็นต้องมีการดำเนินงานเป็นระเบียบแบบแผนต่อเนื่องกันไป
การวางแผนจุดมุ่งหมายในการดำเนินงานนี้จะต้องคำนึงถึงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาหลักสูตรว่าจะเริ่มต้นที่ใดก่อน
และดำเนินการอย่างไรจึงจะเป็นการพัฒนาหลักสูตรที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าหลักสูตรเดิม
ต้องคำนึงถึงการดำเนินงานวิธีการต่างๆ
รวมทั้งหลักการและแนวปฏิบัติเพื่อให้การพัฒนาหลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
มีการฝึกอบรมครูประจำการให้เข้าใจในหลักสูตรใหม่รวมทั้งทักษะในด้านต่างๆ
และต้องคำนึงถึงประโยชน์ในด้านการพัฒนาจิตใจและทัศนคติของผู้เรียนด้วย
ต้องได้รับความร่วมมือและการประสานงานอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในทางด้านทางด้านหลักสูตรทุกๆ
ด้าน
ระดับประถมศึกษา การพัฒนาหลักสูตรในระดับนี้เน้นการพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักตนเอง ชุมชน
และสังคม โดยเชื่อว่าหากพัฒนาตนแล้วรู้ทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม สามารถอ่านออก
เขียนได้คำนวณได้ ซึ่งนับว่าเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในอนาคต
ผู้เรียนรู้จักรักและเข้าใจในธรรมชาติ สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รู้จักรักษาสุขภาพอนามัยส่วนตัวและทำความเข้าใจสุขพลานามัยส่วนร่วมแล้ว ย่อมรู้จักรักทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดจิตภาพต่อการดำรงชีวิตร่วมกันอย่างเป็นปกติสุข
และคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดโยชน์คุ้มค่า
วิเคราะห์เหตุผลและเสนอแนวทางแก้ปัญหาของตนเองและครอบครัว
รักการอ่านและแสวงหาความรู้อยู่เสมอทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น
รักการทำงาน และทำงานเป็น รู้เข้าใจสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่บ้าน
สามารถปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าที่ในฐานะสมาชิกที่ดีของบ้านตลอดจนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น การพัฒนาหลักสูตรในระดับนี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้รู้จักรักและแสวงหาความรู้
กำแนวทางที่เหมาะสมกับตนในการทำประโยชน์ให้แก่สังคม มีความรู้และทักษะในวิชาสามัญ
เข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของสังคมฐานความรู้ (Knowledge-based
society) และติดตามความเจริญก้าวหน้าวิทยาการต่างๆ
รู้จักรักและเอาใจใส่ในสุขภาพของตน บุคคลรอบข้าง และสิ่งแวดล้อม
เสริมสร้างสุขภาพอนามัยส่วนตน และชุมชน
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมพัฒนาการด้านต่างๆ
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม
ผู้เรียนสามารถเสนอแนะทางเลือกอย่างหลากหลายในการแก้ไขปัญหาของชุมชนได้
ช่วยเหลือผู้อื่น ปรับปรุงการปฏิบัติงานอยู่เสมอ ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
รักการทำงานและรู้กระบวนการจัดการ เข้าใจสภาพการเปลี่ยนแปลงสังคมในชุมชน
สามารถเสนอแนวทางการพัฒนาชุมชนภูมิใจในการปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าที่ในฐานะสมาชิกที่ดีในชุมชน
สิ่งแวดล้อมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจคุณค่าตนเอง
วัฒนธรรมท้องถิ่นและชุมชน ตลอดจนเกิดความรู้สึกรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายการพัฒนาหลักสูตรในระดับนี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือทำประโยชน์ให้สังคมตามความสามารถของตนมีความรู้และทักษะในวิชาสามัญเฉพาะด้านและรอบรู้ทันความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่งเสริมการอนามัยชุมชนและการสร้างเสริมสุขภาพวางแนวปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหาของสังคมได้ช่วยเหลือทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ใช้แนวทางและวิธีการใหม่ๆในการปฏิบัติงานอยู่เสมอทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
รักการทำงานมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพสุจริตเข้าใจสภาพและการเปลี่ยนแปลงของสังคมในประเทศและโลกมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศและเข้าใจร่วมกิจกรรมการพัฒนาสังคมตามบทบาทหน้าที่ของตนตลอดจนอนุรักษ์และส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศาสนาศิลปะและวัฒนธรรมของประเทศ
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นตามแนวทางประชาธิปไตย
การที่จะช่วยให้ผู้สอนเกิดความชำนาญและมั่นใจในการใช้หรือพัฒนาหลักสูตรนั้นควรจะมีบริการช่วยผู้สอนให้คำปรึกษาหรือวิธีสอนในการจัดบริการหลักสูตรนี้
ซึ่งจะช่วยผู้สอนในการพัฒนาหลักสูตรในการนำหลักสูตรไปใช้โดยเป็นไปอย่างมีเหตุผลการพัฒนาหลักสูตรจะเกิดขึ้นเมื่อมีวิทยาการต่างๆ
ของสังคมและของโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปตามนโยบาย ปรัชญา และแนวทางการพัฒนาการศึกษา
สรุป(Summary)
การพัฒนาหลักสูตรเป็นการปรับปรุงแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงหลักสูตรในการพัฒนาหลักสูตรนั้นต้องคำนึงถึงสังคมปรัชญาการศึกษาและผู้เรียนตลอดจนกระบวนการเรียนรู้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาหลักสูตรจะต้องประกอบด้วยบุคคลหลายฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันนับแต่นักการศึกษานักวิชาการนักวิจัย
ผู้บริหาร ครูผู้สอนนักเรียน ผู้ปกครองชุมชน
และนักพัฒนาหลักสูตรที่จะให้การหลักสูตรดำเนินไปจนบรรลุผลสูงสุด
ทฤษฎีหลักสูตรที่ได้มาจากศาสตร์สาขาต่างๆ
ได้ถูกรวบรวมเป็นองค์รวมเป็นชุดของหลักการต่างๆ เพื่อ
อธิบายเหตุผลการได้มาขององค์ความรู้
การรักษาไว้และการเรียกใช้องค์ความรู้ในแต่ละบุคคลได้อย่างไรทฤษฎีหลักสูตรเปิดโอกาสให้นักพัฒนาหลักสูตรกำหนดเบ้าหลอมผู้เรียนและกำหนดคำทำนายเกี่ยวกับผลการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นแนวทางช่วยให้สามารถพัฒนาหลักสูตรการนำหลักวิชา
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนเทคนิค และวิธีการต่างๆ
วิธีการที่ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้
และทำให้นักเรียนบรรลุตามจุดประสงค์ในรายวิชาอย่างมีประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์
ตรวจสอบทบทวน(Self-Test)
1. ทฤษฎีหลักสูตร และทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตร
เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
2. การพัฒนาหลักสูตรในแง่ของปรัชญา
ปรัชญาใดที่สมควรนำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อตอบสนองการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 ด้วยเหตุผลใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น