บทที่ 8
การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
มโนทัศน์(Concept)
การวางแผนจัดทำหลักสูตรบุคคลที่มีหน้าที่วางแผนจัดทำหลัก
สูตรต้องร่วมกันจัดทำแผนและจัดทำหลักสูตรตามขั้นตอนอย่างละเอียดสามารถตรวจ
สอบแต่ละขั้นว่าเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ อย่างไร หากมีปัญหาก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้
การกำหนดแผนการเรียนการสอนในหลักสูตรจะช่วยให้ทราบว่าจะต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด
และอย่างไร
ทั้งยังสามารถกำหนดสื่อการเรียนการสอนการประเมินผลเพื่อให้เหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ทั้งรายกลุ่ม
และรายบุคคล
ผลการเรียนรู้(Learning Outcome)
1. มีความรู้ ความเข้าใจ
การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
2. มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น
และแหล่งเรียนรู้
3.
สามารถให้ข้อเสนอแนะในการแต่งตั้งคณะกรรมการและหน้าที่รับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับ
การวางแผนพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นได้
สาระเนื้อหา(Content)
การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
การพัฒนาหลักสูตรเป็นสิ่งที่นักศึกษาต้องดำเนินการอยู่เสมอ
และจะกระทำทุกครั้งเมื่อสังคมมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นจะทำให้ผู้
เรียนได้เพิ่มพูนประสบการณ์ขึ้นมาใหม่และพร้อมที่จะนำประสบการณ์และความรู้
ที่เกิดขึ้นมานั้นไปพัฒนาตนและสังคมให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
Saylor and Alexander (1966 : 7) ได้สรุปว่า การวางแผนพัฒนาหลักสูตร ต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้
1. หลักสูตร
1.1 ตัวผู้เรียนเอง
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสังคมเองมองเห็นนักเรียนคืออะไร
มีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมอย่างไรบ้าง สังคมต้องการอะไรจากนักเรียน
และนักเรียนต้องการอะไรทั้งในแง่ของส่วนบุคคล และสังคม
1.2 หน้าที่และจุดมุ่งหมายของโรงเรียนคืออะไร
โรงเรียนมีแนวคิดยึดปรัชญาสาขาใดและมีแนวปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายนั้นอย่างไร
1.3 ธรรมชาติของความรู้นั้นเป็นอย่างไร
ขอบข่ายของความรู้ที่จำเป็นต้องศึกษานั้นมีมากน้อยแค่ไหน อย่างไร
อะไรเป็นสิ่งจำเป็นก่อนและหลังหรือลำดับของความรู้เป็นอย่างไร
1.4 กระบวนการการเรียนรู้เป็นอย่างไร
ลำดับหรือขั้นตอนของการเรียนรู้เป็นอย่างไร
สิ่งที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงถึงการพัฒนาหลักสูตรในขั้นตอนแรกก็คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคม
ปรัชญา ผู้เรียน และกระบวนการเรียนรู้
2.
บุคคลที่ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาหลักสูตร
2.1 นักการศึกษาในทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาล
ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย เป็นต้น
2.2 ผู้ทรงคุณวุฒิ
และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น นักเรียน ผู้ปกครอง
สมาชิกในชุมชนและสมาคมต่างๆ เป็นต้น
3. ผู้ตัดสินใจเลือกใช้หลักสูตร
ผู้ทำหน้าที่เลือกใช้หลักสูตร คือ นักพัฒนาหลักสูตรซึ่งประกอบด้วยครู
นักศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ
ประกอบขึ้นเป็นกรรมการดำเนินการพัฒนาหลักสูตร
โดยทำหน้าที่คัดเลือกและจัดระบบเนื้อหาสาระตลอดทั้งแบบเรียนกำหนดระบบการเรียน
การสอน และการตัดสินใจเลือกนั้นกระทำตามลำดับและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งบรรพต สุวรรณประเสริฐ (2544: 16)
ได้เสนอรูปแบบการวางแผนหลักสูตรซึ่งต้องมีองค์ประกอบสำคัญได้แก่การกำหนดหลักสูตรนักวางแผนหลักสูตรการตัดสินใจหลักสูตร
และแผนหลักสูตร
การวางแผนการพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตรที่จะทำให้หลักสูตรเกิดความสมบูรณ์
ดังนั้น ก่อนที่จะพัฒนาหลักสูตรนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องกำหนดแผนการพัฒนาหลักสูตร
จะต้องกำหนดแผนการพัฒนาหลักสูตรดังนี้
1. การศึกษาปัญหาหรือการกำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นในหลักสูตรเดิม
2.การกำหนดข้อมูลเพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาข้อมูลที่กำหนดจะต้องเป็นข้อมูลที่สนองตอบต่อปัญหาที่ได้มาจากการศึกษาปัญหา
3.
การกำหนดสมมติฐานว่าหลักสูตรที่จะต้องได้รับการพัฒนานั้นจะบังเกิดผลต่อผู้เรียนอย่างไร
4.กำหนดแนวทางในการดำเนินงานขั้นตอนในการดำเนินงานจะต้องกำหนดเวลาอย่างแน่นอนเพื่อจะได้เห็นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ต้นจนสำเร็จ
5.
การคัดเลือกบุคลากรมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตรจะสำเร็จได้นั้น
จำเป็นต้องมีบุคคลากรที่มีคุณภาพในการทำงานบุคลากรที่ควรกำหนดในแผนได้แก่
นักพัฒนาหลักสูตร นักวิชาการศึกษา ศึกษานิเทศก์และครูผู้สอน
1. การเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น
โลกในยุคมีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสารอย่างมาก
และไม่หยุดยั้ง ทำให้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่างๆ แพร่ถึงกันทั่วโลกได้อย่าสะดวกและรวดเร็วโลกในปัจจุบันจึงเป็นโลกไร้พรมแดน
การจัดการศึกษาจึงต้องพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคัดสรรหรือนำความรู้ ข่าวสาร
ข้อมูลต่างๆอันเป็นสากลมาพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของตน สังคม
และประเทศชาติได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
การจัดการศึกษานอกจากจะพัฒนาผู้เรียนให้มีความสากลแล้วยังจะต้องคงทนความเป็นท้องถิ่นของผู้เรียนไว้ด้วย
ผู้เรียนจึงสามารถดำรงชีวิตได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนกับสภาพต่างๆ
ในท้องถิ่นอย่างมีความสุข มีความรัก มีความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน
สามารถไก้ไขและพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม การจัดการศึกษาต้องร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนกับท้องถิ่น
เป็นทวิภาคีร่วมกันในการสร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนและแก้ปัญหาในชุมชนหรือท้องถิ่น
ความหมายของแหล่งการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศและประสบการณ์ที่สนับสนุนส่งเสริมสร้างให้ผู้เรียนใฝ่เรียน
ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้ และเรียนรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัยอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้
(กระทรวงศึกษาธิการ : 43)
จากความหมายของแหล่งการเรียนรู้ที่กล่าวข้างต้น อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราเป็นแหล่งการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น การเรียนรู้จึงเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ โรงเรียนที่มีฐานะรับผิดชอบโดยตรงในการจัดการศึกษา
จึงต้องสร้างหรือจัดหาแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายขึ้นในโรงเรียน นอกจากนี้ ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 มาตรา 29 ได้เน้นให้สถานศึกษาร่วมกับบุคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน
องค์กรปกครองท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น จัดกบวนการเรียนรู้ภายในชุมชนเพื่อพัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพ
ปัญหาและความต้องการ ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนในทุกสถานศึกษา ครูต้องเปลี่ยนวิธีการสอนจากการเรียนในหนังสื่อหรือในห้องเรียน ไปสู่การเรียนรู้ตามสภาพจริงในชุมชนหรือท้องถิ่น
จึงจะเอื้อให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการจัดหรือพัฒนาการศึกษา และเอื้อต่อสถานศึกษาหรือผู้เรียนในกรมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน
2. แหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน
แหล่งการเรียนรู้ที่โรงเรียนสามารถจัดดำเนินการเพื่อให้ครู อาจารย์ และผู้เรียน
ได้ศึกษาหาความรู้และประสบการณ์ มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับกำลังความสามารถของโรงเรียนแต่ละแห่ง
ตัวอย่างเช่นห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดหมวดวิชา ห้องสมุดเคลื่อนที่ มุมหนังสือในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์
ห้องมัลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องอินเตอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์วิทยาบริการ ศูนย์สื่อการเรียนการสอน ศูนย์พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน สวนพฤกษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนังสือ สวนธรรมะ ฯลฯ
แหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียน เป็นแหล่งที่ให้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้
ซึ่งจัดไว้ภายในโรงเรียนเพื่อให้ผู้เรียน
สามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้ภายในโรงเรียน
ในการจัดและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ของแต่ละโรงเรียนมีความ
แตกต่างกันขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละโรงเรียนตัวอย่างแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน
ได้แก่ ห้องสมุดโรงเรียน
ห้องปฏิบัติการ ศูนย์พัฒนาการสอนวิชาต่างๆ
ศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเอง แหล่งธรรมชาติในโรงเรียนสวนต่างๆ
ในโรงเรียน ฯลฯ
2.1 ห้องสมุด
คำว่า ห้องสมุด ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Library” เป็นคำซึ่งมาจากภาษาละตินว่า “Libraria”
แปลว่า
ที่เก็บหนังสือห้องสมุดเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดในโรงเรียน
เป็นสถานที่รวบรวมสื่อการเรียนรู้ต่างๆ
อาทิ หนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ โสตทัศนวัสดุ
ตลอดจนสื่อการศึกษารูปแบบต่างๆ เพื่อสนับสนุน
การจัดการเรียน การสอนในโรงเรียน
2.1.1วัตถุประสงค์ของห้องสมุด
ห้องสมุดแต่ละแห่งที่ก่อตั้งขึ้นมาอาจมีนโยบายและวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป
ตามประเภทของห้องสมุด อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปห้องสมุดทุกประเภทจะมีวัตถุประสงค์หลักร่วมกัน
คือ
1. เพื่อการศึกษา (Education)
การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ทำให้ผู้เรียนต้องศึกษาค้นคว้า
เพิ่มเติมอยู่เสมอ จากทรัพยากรสารสนเทศที่ห้องสมุดจัดหามาทั้งในและนอกหลักสูตร
2.เพื่อให้ความรู้ข่าวสาร
(Information)
ผู้ใช้หรือผู้เรียนสามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากทุกมุมโลก
ได้จากทรัพยากรสารสนเทศที่ห้องสมุดจัดหาไว้ให้บริการเพื่อให้มีความรู้ทันสมัย ทันโลก
ทันเหตุการณ์ อยู่เสมอ
3. เพื่อการค้นคว้าและวิจัย
(Research)
การค้นคว้าเป็นงานหลักงานหนึ่งในสถาบันการศึกษาของครูและนักเรียน
ซึ่งต้องผลิตโครงการหรือโครงงานต่างๆห้องสมุดจึงต้องจัดหาทรัพยากรสารสนเทศที่เกี่ยวข้องไว้ให้บริการ
เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางด้านวิชาการ
4.เพื่อความจรรโลงใจ (Inspiration)
ห้องสมุดช่วยสร้างสรรค์ความจรรโลงใจ ให้แก่ผู้ใช้บริการ
ด้วยทรัพยากรสารสนเทศประเภทงานศิลปะ ศาสนา ปรัชญา วรรณคดี ท่องเที่ยว และบทประพันธ์ต่างๆ
ซึ่งผู้อ่าน จะรู้สึกซาบซึ้งใจ เล็งเห็นคุณค่าของคุณความดี ชื่นชมในความสำเร็จของผู้อื่น
สามารถยกระดับจิตใจและพัฒนา
ตนเองให้เป็นคนดี มีคุณธรรม ยิ่งขึ้นไปอีก
5.เพื่อความเพลิดเพลิน
และพักผ่อนหย่อนใจ (Recreation)
สิ่งพิมพ์ประเภทนวนิยาย เรื่องสั้น หนังสือพิมพ์
วารสาร นิตยสาร สื่อโสตทัศน์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ดูหนัง ฟังเพลง ในห้องสมุดนับเป็นการเข้าไปใช้บริการเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจที่ดี
2.1.2ประเภทของห้องสมุดห้องสมุดแบ่งเป็น
5ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.ห้องสมุดโรงเรียนคือ ห้องสมุดที่จัดตั้งขึ้น
ภายในโรงเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนของสถานศึกษานั้นๆ
รวมทั้งเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านหนังสือให้แก่นักเรียนด้วย
2.ห้องสมุดวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยคือ
ห้องสมุดที่จัดตั้งขึ้นในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทุกแห่ง หรือ ส านักหอสมุด จัดให้บริการแก่
นิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักวิจัย เพื่อส่งเสริมการศึกษา ค้นคว้าและวิจัย
3.ห้องสมุดประชาชนคือ ห้องสมุดที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการแก่บุคคลทั่วไป
โดยไม่จ ากัดเพศ วัย และระดับการศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ข่าวสาร
และความบันเทิงทั่วๆไป ห้องสมุดประเภทนี้จึงมีหนังสือหลากหลายประเภทไว้ให้บริการ เช่น
ห้องสมุดประชาชน เป็นต้น
4.ห้องสมุดเฉพาะคือ
ห้องสมุดที่จัดตั้งขึ้นในหน่วยงานราชการต่างๆ องค์กร สมาคม สถาบัน บริษัท ธนาคาร หนังสือที่อยู่ในห้องสมุดประเภทนี้
ส่วนมากเป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพของหน่วยงานนั้นๆ
จัดไว้เพื่อให้บริการแก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานได้ศึกษาหาความรู้ในแขนงงานที่ตนปฏิบัติงาน
5.หอสมุดแห่งชาติคือห้องสมุดที่เก็บรวบรวมสิ่งพิมพ์ที่พิมพ์ขึ้นภายในประเทศไว้อย่างสมบูรณ์
และอนุรักษ์ไว้ให้คงทนถาวร จัดให้ใช้ประโยชน์ในด้านประกอบการค้นคว้าวิจัย หอสมุดแห่งชาติจะต้องได้รับสิ่งพิมพ์ทุกเล่มที่พิมพ์ขึ้นภายในประเทศตามกฎหมาย
2.2ห้องปฏิบัติการ
ห้องปฏิบัติการ หมายถึง ห้องที่ทางโรงเรียนจัดตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ฝึกทักษะในด้านต่างๆ
ให้แก่ผู้เรียน
เพื่อเสริมการเรียนรู้ภาคทฤษฎีเช่น
ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ ห้องปฏิบัติการเคมี
เป็นต้น ให้ผู้เรียนสามารถใช้เป็นแหล่งฝึกฝนทักษะ
เพื่อให้เกิดความรู้ ความชำนาญ และเกิดประสบการณ์ในด้านต่างๆ
ต่อตัวผู้เรียนมากยิ่งขึ้น
2.3ห้องสมุดกลุ่มสาระวิชา
โรงเรียนสามารถจัดห้องสมุดกลุ่มสาระวิชา
หรือห้องสมุดศูนย์วิชา ให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง อาจเป็นห้องสำหรับการเรียนการสอนวิชานั้นๆ
เป็นมุมหนังสือของกลุ่มสาระวิชา หรืออาจเป็นห้องโดยเฉพาะวิชาใดวิชาหนึ่ง เพื่อให้บริการสื่อการเรียนการสอน
เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ เพื่อให้บริการแก่ครู ผู้เรียน เข้าศึกษาค้นคว้าได้อย่างอิสระสามารถเข้าไปศึกษาค้นคว้าได้ด้วยตนเองเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่
มโดยจัดไว้ในห้องพักครูหรือหน้าห้องพักครูหรือจัดไว้ในห้องเรียนประจำวิชา
2.4 อุทยานการศึกษา
อุทยานการศึกษาเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้ความรื่นรมย์ตามธรรมชาติพื่อการพักผ่อนหย่อนใจความ
เพลิดเพลินอย่างมีสาระโดยจัดเป็นสวนสมุนไพรสวนพฤกษศาสตร์สวนเกษตรสวนธรรมชาติฯลฯโดยการจัดภูมิทัศน์ให้สวยงามมีบรรยากาศเอื้อต่อการเรียนรู้พัฒนาอารมณ์และจิตใจของผู้เรียน
2.5 ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแหล่งผลิตและให้บริการเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแก่ครูผู้สอนและผู้เรียนในรูปแบบต่างๆที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองเช่นคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอนอินเทอร์เน็ต
ซีดี-รอและคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสื่อประสม
โดยอาจจัดเป็นห้องโดยเฉพาะหรือจัดเป็นอาคารเอกเทศโดยเฉพาะ(วิลาสินี เทพวงศ์. 2548 : 19)
นอกจากห้องสมุดและห้องปฏิบัติการต่างๆ
ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียนที่เป็นสถานที่แล้ว โรงเรียนยังมีแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
ที่ทางโรงเรียน ครูและนักเรียนช่วยกันจัดท าขึ้น อาทิ ป้ายนิเทศหน้าอาคารหรือหน้าชั้น
เรียน แผ่นป้ายความรู้ ต้นไม้พูดได้ สวนสมุนไพร
หรือสวนพฤกษศาสตร์ เป็นต้นซึ่งล้วนแต่เป็นแหล่งให้ความรู้แก่ผู้เรียนทั้งสิ้น
3. แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นซึ่งจะเอื้อประโยชน์ในการเรียนรู้ที่หลากหลายในการจัดการเรียนการสอนมี 6 ประเภท ดังนี้
1. บุคคล หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ
ความเชี่ยวชาญในงานเฉพาะสาขาหรืองานอาชีพต่างๆ
ซึ่งโรงเรียนอาจเชิญมาเป็นวิทยากรในบางชั่วโมง หรืออาจจ้างสอนเป็นรายวิชาหรือเชิญเป็นอาสาสมัครสอน
เป็นพิเศษ ได้แก่ เกษตร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักธุรกิจ พระสงฆ์
ช่างฝีมือ เกษตรตำบล ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ ผู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นต้น
2. สถาบัน หน่วยงาน หรือองค์กรทางสังคม แบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้
2.1 สถานศึกษา
พัฒนาและให้บริการประชาชน หมายถึง หน่วยงานที่ให้การศึกษา พัฒนาความรู้ ความสามารถ
เจตคติ ได้แก่ โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย สถานีอนามัย โรงพยาบาล ห้องสมุด วัด
สถานีทดลองข้าว สถานีประมง พิพิธภัณฑ์ ศูนย์ฝึกอบรม ฯลฯ เป็นต้น
2.2 สถานประกอบการทางธุรกิจ
การค้า อุตสาหกรรม และอาชีพอิสระ ได้แก่ ร้านค้า โรงงาน ฟาร์ม ฟาร์มเลี้ยงไก่
ร้านซ่อมรถจักรยาน ร้านขายอาหาร ไร่ข้าวโพดนาเกลือ สวนมะม่วง ฯลฯ เป็นต้น
3. สถานที่ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ ได้แก่ แม่น้ำ ทะเล ภูเขา ป่าไม้ น้ำตก ห้วย หนอง คลอง บึงฯลฯ เป็นต้น
4. วัสดุและเศษวัสดุต่างๆที่มีในท้องถิ่น แบ่งได้ 2 ประเภทคือ
4.1วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ
ได้แก่ แร่ธาตุ ดิน หิน ทราย พืช เปลือกไม้ เมล็ดข้าว ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้ ฯลฯ
เป็นต้น
4.2 วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากการผลิตหรือการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์
ได้แก่ กระดาษ กล่องกระดาษ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก เศษไม้ เศษผ้า เศษกระดาษ เศษกระจก
กระป๋อง ฝาขวดน้ำอัดลม ฯลฯ เป็นต้น
5. สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น แผ่นพับ วารสาร หนังสือพิมพ์หนังสือ รูปภาพ ฯลฯ
6. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น อินเตอร์เน็ต แผ่นซีดี – รอม
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(CAI) วีดีทัศน์ ภาพยนตร์ฯลฯ
v แหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น
โอ่งมังกรได้ถือกำเนิดขึ้นบนแผ่นดินไทยมากว่า
80
ปีแล้ว ณ ดินแดนฝั่งตะวันตกของประเทศไทย ที่ได้ชื่อว่า
ดินดีเหมาะแก่การทำโอ่ง ที่จังหวัดราชบุรี เมื่อปี 2476 นาย ฮง แซ่เตี่ย และ นาย จือเหม็ง แซ่อึ้ง เป็นชาวจีนจากเมืองปั้งโคย
ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย และได้พบว่า แหล่งดินที่จังหวัดราชบุรีเหมาะแก่การปั้นโอ่ง
จึงหุ้นกันก่อตั้งโรงโอ่ง จนเป็นที่มาของโรงโอ่ง เก้าแซไถ่ และ เถ้าฮงไถ่ โดย โรงโอ่งเถาแซไถ่เน้นผลิตโอ่งและกระถางต้นไม้
ส่วน โรงโอ่งเถ้าฮงไถ่ เน้นเครื่องเซรามิกและเครื่องประดับตกแต่ง ปัจจุบัน
ทายาทรุ่นที่ 3 คุณ พงษ์ศักดิ์ สุพานิชารภาชน์เป็นเจ้าของ
สมัยก่อน
โอ่งได้เป็นที่ต้องการอย่างแพร่หลาย เพราะ แต่ละบ้าน จำเป็นที่จะต้องมีภาชนะบรรจุน้ำ
ซึ่งภาชนะส่วนใหญ่ก็จะเป็น โอ่งหรือถังไม้ พอมีการตั้งโรงงาน
โอ่งก็กลายเป็นธุรกิจการค้า โดยเฉพาะสมัยสงครามโลก โอ่งที่นำเข้าจากเมืองจีนเริ่มขลาดแคลน
โรงงานจึงต้องผลิตส่ง โดยโรงโอ่งสมัยนั้นจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เพื่อง่ายต่อการขนส่งมังกรเป็นเทพเจ้าแห่งพลังความดีงาม
และชีวิต ถือเป็นสัตว์มงคลตามเทพนิยายจีน
ช่างปั้นจึงเลือกนำมาปั้นเป็นลวดลายบนโอ่ง จนกลายเป็นที่มาของโอ่งมังกร ราชบุรี การปั้นโอ่งและการวาดลายบนโอ่งนั้น มีมีบันทึกไว้เป็นตำรา
อาศัยโดยการสืบทอดฝีมือผ่านการลงมือทำด้วยตนเอง อาศัยความชำนาญ
ในอดีตโอ่งมังกรเป็นมากกว่าภาชนะบรรจุน้ำ
แต่ยังเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะอันมั่งคั่งของผู้ที่ครอบครอง ด้วยระยะทางที่ไกลจากแหล่งผลิตทำให้ราคาของโอ่งสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
โอ่งจึงเป็นเครื่องชี้สถานภาพทางสังคมของคนสมัยก่อน ปัจจุบันมีการใช้ถังพลาสติกแทนโอ่งความต้องการใช้โอ่งจึงลดน้อยลง
เถ้าฮงไถ่จึงได้มีการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง รับงานเฉพาะทางมากขึ้น
โดยเฉพาะกระถางบอนไซ บอนไซต้องการกระถางเฉพาะที่เหมาะกับขนาด
เน้นคุณภาพและฐานเฉพาะ ราคาก็จะแตกต่างกัน จึงทำให้เถ้าฮงไถ่อยู่ได้ ซึงในปัจจุบันได้หยุดผลิตโอ่งไปแล้ว
โอ่งมีลักษณะคงทน ไม่มีสารเคมี ปัจจุบันจึงใช้ถนอมอาหาร เช่น ดองผักกาด ดองหน่อไม้
แทนการใส่น้ำเช่นในอดีต จึงเป็นที่ต้องการมาก โดยเฉพาะเกาหลี
ได้สั่งโอ่งไปหมักกิมจิ หมักเหล้า เพราะโอ่งปลอดสารเคมี โอ่งยิ่งเป็นขอขึ้นชื่อมากของจังหวัดราชบุรีดังที่ปรากฏอยู่ในคำขวัญของ
จังหวัดราชบุรี
Ø คนสวยโพธาราม
Ø คนงามบ้านโป่ง
Ø เมืองโอ่งมังกร
Ø วัดขนอนหนังใหญ่
Ø ตื่นใจถ้ำงาม
Ø ตลาดน้ำดำเนิน
Ø เพลินค้างคาวร้อยล้า
ขั้นตอนการผลิต
1. ก่อนที่จะทำการปั้นโอ่งเราต้องวัตถุดิบ (ดิน) ที่มีคุณภาพเหมาะที่จะใช้ในการปั้นโอ่งเสียก่อน เมียได้วัตถุดิบแล้วก็ให้ใช้น้ำผสมกับดินที่ได้หมักดินทั้งไว้ประมาณ 3 วัน
2. เมื่อหมักดินได้ครบสามวันแล้วจิงน้ำดินที่หมักได้ที่แล้วมาเข้าเครื่องนวดดินให้ดินป็นเนื้อเดียวกันเพื่อสะดวกในการปั้นโอ่ง
3. หลังจากนวดดินจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วชั่งปั้นก็จะนำดินขึ้นมาโม่เพื่อนำการ ปั้นดินเป็นรูปร่าง เสร็จแล้วนำภาชนะที่ปั้นได้วางผึ่งให้แห้ง
4. ระหว่างการผึ่งภาชนะให้แห้งจะมีช่างไม้ขูดภาชนะเพื่อให้เรียบ ให้เป็นรูปทรงที่สวยงามปราณีตขึ้น แล้วจึงแกะลายรอบๆโอ่ง หลังจากนั้นก็นำน้ำยาเคลือบภาชนะไว้จนแห้งสนิท จากนั้นก็นำมาเขียนลาย
5. แล้วจึงนำภาชนะเข้าเตาอบเพื่อทำการเผา สำหรับเตาฟืนจะใช้ความร้อนประมาณ 700-800 องศาเชลเซียส เวลาในการเผาประมาณ 7-8 ชั่วโมง
การถ่ายทอดความรู้
กระบวนการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการปั้นโอ่งมังกรของชาวตำบล
เจดีย์หัก อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีการปั้นโอ่งมังกรราชบุรีได้รับการถ่ายทอดมาจากชาวจีนที่อพยพเข้ามาจาก
ประเทศจีนเข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย โดยแบ่งออกเป็น 3 ยุคคือ ยุคแรกเป็นการนำความรู้เข้ามาสู่ชุมชน ยุคที่ 2 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการขยายตัวของสินค้า และยุคปัจจุบันเป็นยุคที่มีการปรับเปลี่ยนบทบาทของประโยชน์ใช้สอย
รูปแบบสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสภาพสังคม
กลยุทธ์การพัฒนา
กลยุทธ์การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องเคลือบดินเผาที่เหมาะสมควรเน้นผลิตสินค้า
สวนและบ้านที่มีขนาดใหญ่ สร้างคุณค่า (Value) ของลวดลายมังกรให้ลูกค้ารับรู้และเห็นคุณค่าว่าเป็นงานศิลปะที่ผลิตด้วยมือ
ส่งเสริมการจ้างแรงงานไทยมากกว่าแรงงานต่างด้าว มีศูนย์ต้นแบบผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบเพื่ออุตสาหกรรมเซรามิกจังหวัดราชบุรี
มีการวิจัยและพัฒนาค้นหาวัตถุดิบ แสวงหานวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ที่นำมาช่วยในการผลิต
หน่วยงานภาครัฐเข้ามาช่วยในการพัฒนาการออกแบบผลิตภัณฑ์และการส่งเสริมการ ตลาดรวมถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างองค์กรให้ระบบและจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
สิ่งที่สำคัญคือสถาบันารศึกษาในท้องถิ่น ควรสร้างนักออกแบบเครื่งปั้นดินเผามืออาชืพ
และเน้นการสร้างตราสินค้า (Brand) ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
4. ประโยชน์ของการเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
การใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
มีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
1.ทำให้นักเรียนรู้จัก และใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆที่มีอยู่และหาได้ง่าย
ในท้องถิ่นของตน สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษามาพัฒนาชีวิต
ความเป็นอยู่หรือการนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
สามารถปรับการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น
จึงสามารถอยู่กับท้องถิ่นได้อย่างเป็นสุข
2.ทำ ให้นักเรียนรัก ภูมิใจ มองเห็นคุณค่า หวงแหน อนุรักษ์
และช่วยทำนุบำรุงรักษาท้องถิ่นของตน เพราะนักเรียนได้พึ่งพาแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
ที่มีในท้องถิ่นในการพัฒนาศักยภาพของตน ถ้าแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
ต้องศูนย์เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ก็จะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของนักเรียนต้องลด
น้อยถอยลงหรือได้ผลกระทบตามไปด้วย
3.ช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
เพราะนักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงได้เห็นจริงและได้ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง
การนำวิทยากรมาสู่ห้องเรียนหรือการพานักเรียนไปศึกษานอกโรงเรียน
ทำให้นักเรียนได้เปลี่ยนบรรยากาศจากการเรียนที่จำเจ ไปสู่การเรียนที่แปลกใหม่
นักเรียนจึงเกิดความสนใจและความกระตือรือร้นในการเรียน นอกจากนี้
การนำวัสดุในท้องถิ่นมาจัดการเรียนการสอนยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง
และของทางราชการอีกด้วย
4.ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครูหรือขาดครูที่มีความรู้ความชำนาญในการสอนบางเนื้อหาบทเรียน
การนำวิทยากรในท้องถิ่นที่มีความรู้
ความสามารถมากกว่าครูมาช่วยสอนทำให้นักเรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจ อย่างครบถ้วน
สมบูรณ์ เต็มตามหลักสูตร
5.การใช้วิทยากรหรือแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น
ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เกิดความเข้าใจกัน
ให้ความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการจัดการศึกษาหรือพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ
ขึ้น
5. แนวทางการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
การใช้แหล่งการเรียนในท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมีแนวทางกว้างๆ
ดังนี้
1.สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
จัดทำระบบการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ทันสมัย สะดวกต่อการค้นหา
2.ศึกษา
หลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตรต่างๆเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะใช้
แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับหลักสูตร
3.ประยุกต์ใช้วัสดุและเศษวัสดุที่มีในท้องถิ่นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดหลักการหรือความคิดรวบยอดตามหลักสูตรแกนกลาง
ทดลองใช้จนเกิดความมั่นใจแล้วจึงได้นำมาให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ
4.ครูและนักเรียนร่วมมือกันเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ในท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ
เพื่อประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5.บันทึกผลการเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
ทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรและรูปภาพ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา ปรับปรุง
หรือนำมาใช้ในโอกาสต่อไป
6.ปรับปรุง แก้ไข พัฒนา
การเรียนการสอนโดยใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพของการเรียนการสอนแล้ว ยังเห็นการเผยแพร่
ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของโรงเรียนได้ด้วย
6. หลักการจัดหาแหล่งการเรียนรู้
ในแต่ละท้องถิ่นย่อมมีแหล่งการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไป
การจัดหาแหล่งการเรียนรู้เพื่อการเรียนการสอน มีหลัก 6ประการดังนี้
(คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติสำนักงาน 2524 :9-10)
1.ความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น
แหล่งการเรียนรู้ที่จะนำมาใช้จัดการเรียนการสอนควรเหมาะสมกับสภาพต่างๆ ในท้องถิ่น
เช่น สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาชีพหลักของประชาชน ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจเป็นต้น
2.ความสะดวกในการเดินทางและการติดต่อ แหล่งการเรียนรู้ที่ดี
ต้องเป็นแหล่งที่เดินทาง ไปมา
และสามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวก เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ
ทำให้ได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่า
3.ความประหยัดและประโยชน์ การใช้แหล่งเรียนรู้ที่ดีต้องคำนึงถึงเวลาและเงินที่ต้องใช้ในการดำเนินการและประโยชน์ตอบแทนที่จะได้รับด้วย
ถ้านำมาใช้แล้วเสียเงินและเวลามากแต่ได้ประโยชน์น้อยก็ไม่สมควรใช้ เช่น
พาไปศึกษาที่ซึ่งห่างไกลจากโรงเรียนมาก
ครูและนักเรียนต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก ทำให้นักเรียนเหนื่อยจึงไม่มีความสนใจเท่าที่ควร
4.ความเหมาะสมกับบทเรียนและวัยของผู้เรียน เช่น
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ควรเป็นเรื่องง่ายๆ
ที่ไม่สลับซับซ่อนนัก หรือให้ดูโดยรวม ไม่ต้องดูส่วนย่อยๆ เช่น
พาไปดูโรงงานทอผ้าควรให้ดูเกี่ยวกับ สถานที่ วัตถุดิบ และผลผลิต
ไม่ควรดูกระบวนการผลิต นอกจากนี้ วิทยากรควรใช้ภาษาง่ายๆ
ที่เด็กในวัยนี้เขาใจได้ดี
5.ความปลอดภัยและความถูกต้อง หมายถึง ความปลอดภัยทั้งในการเดินทาง
ในขณะศึกษาหาความรู้ และในการนำไปใช้ด้วย ส่วนความถูกต้องนั้น
หมายถึง ความรู้หรือประสบการณ์ที่ได้รับจะต้องถูกต้อง ตรงตามหลักวิชา
6.ความรู้และประโยชน์ที่หลากหลากหลาย เช่น พานักเรียนไปดูการทำและจำหน่ายเครื่องจักสาน
นักเรียนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับวัสดุดิบที่ใช้ กระบวนการผลิต รูปแบบของชิ้นงาน
การประดิษฐ์ลวดลายต่างๆ ประโยชน์ในการใช้งาน การจัดจำหน่าย ได้เห็นภูมิปัญญาของชาวบ้านในการดัดแปลงวัสดุที่มีในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์ ได้เห็นวิธีการจัดร้าน วิธีการคิดราคาสินค้า
เป็นการศึกษาแบบบูรณาการทั้งในด้านการทำงาน การประกอบอาชีพในชุมชน การประกอบธุรกิจ การรวมกลุ่ม ความคิดสร้างสรรค์ และศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น เป็นต้น
7.
ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร
ต้องมีการร่วมมือกันหลายฝ่ายเพื่อให้ผลงานออกมาตรงเป้าหมาย ได้แก่
1.นักบริหารหลักสูตร ได้แก่ อธิบดีกรมวิชาการ
ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาหลักสูตร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาหนังสือฯ
2. นักวิชาการ ได้แก่ อาจารย์ในมหาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ
3. ครู อาจารย์ ศึกษานิเทศก์
4. นักบริหาร ได้แก่ ผู้บริหารในระดับต่างๆ
5. บุคคลภายนอก ได้แก่ บุคคลอื่นๆ
นอกจากที่กล่าวมาและเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร
6. หน่วยสนับสนุนการใช้หลักสูตร ได้แก่
- หน่วยผลิตชุดการสอน และวัสดุอุปกรณ์
- หน่วยผลิตสื่อสารการเรียนการสอนอื่น ๆ
- หน่วยนิเทศและประสานงาน
- หน่วยทดสอบและประเมินผลการเรียนในโรงเรียน
- หน่วยแนะแนวในโรงเรียน
การใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
เนื้อหาสาระของหลักสูตรท้องถิ่น แยกได้ 4 ประเภท
คือ
1. เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม
ศาสนา เศรษฐกิจ ของท้องถิ่น
2. เนื้อหาที่เกี่ยวกับจุดเด่นของท้องถิ่นที่ผู้เรียนควรทราบ
เพื่อให้เกิดความภูมิใจ
3. เนื้อหาที่เกี่ยวกับนโยบาย วิสัยทัศน์ของท้องถิ่น
4. เนื้อหาที่เกี่ยวกับนโยบาย ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น
วิธีนำเนื้อหาท้องถิ่นมาสู่หลักสูตรและการสอน
1. สำรวจสภาพภูมิอากาศ ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา
เศรษฐกิจของท้องถิ่น โดยได้จากการอ่านเอกสารจากหน่วยงานปกครอง
หน่วยงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว หน่วยงานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์
เอกสารในห้องสมุดที่เกี่ยวกับท้องถิ่น แล้วนำมาวิเคราะห์ สรุป
เป็นเนื้อหาสาระของท้องถิ่น
ตัวอย่าง: จังหวัดนครพนม
1.
จุดเด่นของจังหวัดนครพนมที่จะมาใส่ในหลักสูตรท้องถิ่น สรุปได้ดังนี้
1) ภาคภูมิศาสตร์ เป็นจังหวัดชายแดนที่ติดต่อกับประเทศลาว
และใกล้กับประเทศเวียตนาม
2) ประวัติศาสตร์ จังหวัดนครพนม เป็นจังหวัดชายแดนตั้งเลียบชายฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองท่าแขก ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในดินแดนที่ราบสูง
อดีตเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์อันรุ่งเรือง ได้ถูกเปลี่ยนเป็น
"มรุกขนคร" และต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น
"นครพนม" แขวงคำม่วนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่
3) ศาสนา มีศาสนาสำคัญ คือ ศาสนาพุทธ คริสต์
ที่ทำให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีสันติ
4) สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดนครพนม คือ พระธาตุพนม นอกจากนี้ยังมีพระธาตุอื่นๆ ที่ชาวจังหวัดนครพนมเคารพนับถือ ได้แก่ พระธาตุประสิทธิ์ พระธาตุท่าอุเทน พระธาตุเรณู
พระธาตุศรีคุณ พระธาตุนคร และพระธาตุมหาชัย เป็นต้น
ซึ่งถือเป็นเมืองพระธาตุโดยแท้ 5) คำขวัญ ได้แก่: พระธาตุพนมค่าล้ำ
วัฒนธรรมหลากหลาย เรณูผู้ไท เรือไฟโสภางามตาฝั่งโขง
6) ต้นไม้ประจำจังหวัด: กันเกรา (Fagraea
fragrans)
2. นำเนื้อหาดังกล่าวมาพิจารณาว่าจะเกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ใดตัวอย่างจังหวัดนครพนม
สาระการเรียนรู้
|
เนื้อหาท้องถิ่น
เช่น
|
1. ภาษาไทย
|
ภาษา 7 ชนเผ่า
|
2. คณิตศาสตร์
|
ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์
หาด เกาะ ดินฟ้าอากาศ ที่ทำกิน อาชีพ สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
|
3. วิทยาศาสตร์
|
วิธีทำเกษตร
การดูแลสภาพป่าต่างๆ
|
4. สังคมวิทยา ศาสนาวัฒนธรรม
|
วัฒนธรรมของคน
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ อาหาร อาชีพ และเศรษฐกิจสังคม
|
5. สุขศึกษา พลศึกษา
|
คุณค่าทางโภชนาการ
|
6. ศิลปะ
|
การทอผ้ามัดหมี่
ลายผ้าทอ
|
7. การงาน อาชีพ และเทคโนโลยี
|
เน้นอาชีพของคนนครพนม
การเกษตร
|
8. ภาษาต่างประเทศ
|
ภาษาอังกฤษ
|
3. นำเนื้อหามาผสมผสานกับเนื้อหาในหลักสูตรใหม่ อาจทำได้หลายลักษณะ เช่น
ก) ใช้เป็นเนื้อหาสอน เช่น เมื่อสอนเรื่อง ตนเองและครอบครัวก็ใช้สภาพจริงเป็นเนื้อหา
ข) ใช้เป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนไปทำ เช่น
การประกอบอาชีพของคนในท้องถิ่นมีกี่อาชีพ อะไรบ้าง มีผู้ทำร้อยละเท่าไร
ค) ใช้เป็นโครงงาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไข
ง) ใช้ปัญหาเป็นฐาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไข
จ) ใช้เป็นประเด็น ให้นักเรียนไปค้นคว้า ตัวอย่างเช่น นครพนม แปลว่า
มีลักษณะอย่างไร มากน้อยเพียงใด มีอะไรสูญหายไปบ้างหรือไม่
ถ้าสูญหายทำไมจึงสูญหายไป
ฉ) ใช้เป็นสถานที่ไปทัศนศึกษา เช่น พระธาตุต่างๆ
สรุป(Summary)
การวางแผนพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น เป็นการนำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มาจัดทำเป็นหลักสูตรสถานศึกษา ใช้ข้อมูลหรือแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น กล่าวคือ การวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูลท้องถิ่น
แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น และทรัพยากรบุคคลในท้องถิ่น
มาบูรณาการการจัดกระบวนการทางการศึกษาการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับ
ผู้เรียน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการวางแผนพัฒนาหลักสูตรจะเริ่มต้นจากการวิเคราะห์
หลักสูตรเดิมที่ใช้กันอยู่ก่อนแล้วว่ามีผลต่อการใช้ปัจจุบันอย่างไรหากหลัก
สูตรเดิมไม่สนองต่อความต้องการของสังคมและผู้เรียนในปัจจุบันอันจะส่งผลไป
สู่อนาคตเพื่อการผลิตคนสู่อนาคตแล้วก็ให้นำผลที่ได้มาเป็นข้อมูลในการวางแผน
สร้างหลักสูตรใหม่
การจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพและแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
ที่มีอยู่ในท้องถิ่น เริ่มจากครูและนักเรียนร่วมกันสำรวจและจัดทำข้องมูลเกี่ยวกับบุคลากร
องค์กรทางสังคม แหล่งการเรียนรู้ทางธรรมชาติ และวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นที่สามารถนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนเนื้อหาต่างๆ
ไว้อย่างเป็นระบบระเบียบเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ครูอาจจะพาผู้เรียนไปศึกษาและฝึกการทำงานในสถานที่จริงที่บ้านหรือ
หน่วยงาน หรือสถานประกอบการต่างๆ ที่มีในท้องถิ่นครูอาจจะเชิญผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพต่างๆ มาเป็นวิทยากรในโรงเรียน การเรียนการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นของตน จะทำให้ผู้เรียนไม่เกิดความแปลกแยกกับท้องถิ่น สามารถนำเนินชีวิตและพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงรอบๆ
ตัวการเปิดโอกาสให้บุคลากรในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนการสอน
เป็นการประสานความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนและชุมชน เป็น
การผนึกกำลังร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์พัฒนาการศึกษาและท้องถิ่นให้เจริญก้าว
หน้าตามความต้องการและเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา วัฒนธรรม ฯลฯ
ซึ่งจะเป็นการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น